..

..

บอกบุญ สร้างศาลาวัด อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี

Profile โค้ชคม

Profile โค้ชคม

แนะนำ หลักสูตร การพัฒนาตนเองและทำงานเป็นทีมอย่างมีประสิทธิภาพ

วันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

พิมพ์เขียวทางความคิดเกี่ยวกับเงิน (Money Blueprint)


พิมพ์เขียวทางความคิดเกี่ยวกับเงิน (Money Blueprint)
..
เป็นตัวกำหนดความมั่งคั่ง มั่งมีของคนแต่ละคน
เป็นการกำหนดเพดานทางด้านการเงินในแบบเฉพาะของตัวเอง
มาตั้งแต่อดีตโดยที่ไม่รู้ตัว จากเหตุการณ์สถานการณ์บางอย่าง
ที่ฝังใจในอดีตเกี่ยวกับเงิน
..
โดยเฉพาะการรู้สึกว่า
ความรวยคือความเลวร้าย คนรวยคือคนโลภมาก
คนรวยไม่ยุติธรรม  ความรวยคือความทุกข์
หรือการเป็นคนรวยต้องลำบากมากๆซะก่อน
คนรวยต้องฉลาดเป็นกรด คนรวยต้องเพอร์เฟคทุกอย่าง เป็นต้น
..
เหล่านี้ล้วนเป็นต้นเหตุให้แผนผังทางความคิดเกี่ยวกับเงินผิดเพี้ยนไปจนหมดสิ้น
ไม่ว่าจะเป็น
การหาเงินมาให้ได้ตามขนาดที่กำหนดเอาไว้ในแต่ละเดือน
พอได้เงินมาเกินขนาดที่ตั้งไว้ ก็จะหาทางระบายออกไปใช้ จนไม่ได้เก็บออม
ด้วยเหตุผลคลาสสิคที่ว่า .. “ไม่รู้เป็นไร พอมีเงินทีไร ต้องมีเรื่องให้ใช้ทุกที”
..
ทำไมสามล้อถูกหวยถึงกลับมาจนเหมือนเดิม
ขณะที่คนเคยรวย ต่อให้ล้มละลาย ก็กลับมารวยได้ใหม่ ..
..
คำตอบที่แท้จริงนั้นก็คือ
การกำหนดขนาดของรายได้ในชีวิตที่สร้างขึ้นมาในใจของเราเท่านั้น..นั่นเอง

วันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

การเลือกประเภทของคนทำงานในองค์การ

..
ปราชญ์นักบริหาร กล่าวถึง ประเภทของคนทำงาน ไว้ 4 ประเภทดังนี้
..
1.ประเภทขี้เกียจ และ โง่  คือประเภทที่เอาไว้ใช้เป็นแรงงาน
แต่ต้องคอยให้คำแนะนำ ควบคุมการทำงานให้เป็นไปตามที่กำหนดขึ้น
..
2.ประเภทขยัน และ โง่ คือประเภทที่เจอตัวเมื่อไหร่ ให้ไล่ออกทันที
พวกนี้มักสร้างความวุ่นวายให้กับสังคม “มีอันตราย”
ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งหน้าที่ใด ก็ก่อความวุ่นวายเดือดร้อนได้ง่าย
หาประโยชน์ให้องค์กรได้ยาก
..
3.ประเภทขยัน และ ฉลาด คนพวกนี้ เหมาะที่จะเป็นเจ้าหน้าที่ชั้นเลิศ คือ
ทำงานให้เราได้อย่างดี
ถ้าส่งเสริมให้ดีแล้วต่อไปภายภาคหน้าจะได้เป็นเจ้าคนนายคน
เป็นหัวหน้าที่มีประสิทธิภาพ  ซึ่งต้องคอยดูแล ด้วยการเว้นระยะห่างที่เหมาะสม
ไม่ใกล้ชิด หรือห่างเหินจนเกินไป
..
4.ประเภทขี้เกียจ และ ฉลาด คนพวกนี้ ถือเป็น สุดยอดอัจฉริยะ
มีแนวความคิดทันสมัย ล้ำยุค คอยหานวัตกรรมใหม่ๆให้องค์กรอยู่เสมอ
ให้ดูแลด้วยการหางานยากๆ ให้ทำ
แล้วเค้าจะนำสิ่งที่คาดไม่ถึงมาให้อย่างแน่นอน ..นั่นเอง

วันพุธที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

การให้ความสำคัญ ..กับสิ่งหนึ่งสิ่งใดในชีวิต

..
การให้ความสำคัญ ..กับสิ่งหนึ่งสิ่งใดนั้น
ถือเป็นจุดตั้งต้นแต่เช้าตรู่ .. อันนำไปสู่ชีวิตที่เลือกได้เอง
ซึ่งนั่น ขึ้นอยู่กับเราเพียงผู้เดียวที่จะตัดสิน อนุญาตให้ตัวเองเลือกอะไร ยังไง..
..
เมื่อเราให้ความสำคัญ ใส่ใจกับ เรื่องสำคัญ .. เราจะได้รับสิ่งสำคัญสะท้อนกลับมา
ในทางตรงกันข้าม
หากเราให้ความสำคัญ ใส่ใจกับ เรื่องที่ไม่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็น
การนินทากาเล การสนใจเรื่องผู้คน เรื่องอบายมุข สุรา การพนัน
ข้อมูลข่าวสารจากสื่อต่างๆ ที่ไม่เกี่ยวช้องกับชีวิตของเรา ฯลฯ
เราก็จะได้รับสิ่งที่ไม่สำคัญนั้นกลับมาทุกๆวันอย่างไม่ต้องสงสัย
..
เทคนิคที่สั้นและง่ายนิดเดียว คือ
แค่เพียงเราวางเรื่องที่สำคัญ ไว้ในช่องของชีวิตอย่างถูกต้อง
กำหนดสิ่งสำคัญ ออกมาให้ชัดเจน
ไม่ว่าจะเป็น งานที่เราอยากทำ งานที่เราต้องทำ ฯลฯ
..
มันจะเกิดกระบวนการสร้างความสมดุลย์อย่างเป็นระบบ
ส่งผลให้ทั้งสุขภาพกาย สุขภาพใจ สุขภาพทางการเงิน
ได้รับการสะสมบ่มเพาะ ให้ค่อยๆสมบูรณ์แข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ
อันเป็นเป้าหมายในการดำรงชีวิตอยู่อย่างมีคุณค่าและมีความสำคัญ ..นั่นเอง

“Less Is More” ทำน้อยให้ได้มาก

..
“Less Is More” ทำน้อยให้ได้มาก
..
นิทานเรื่องช่างแกะสลักช้างที่เก่งมากที่สุด
ให้เคล็ดลับในการแกะสลักว่า
“แค่เพียงหาไม้ดีดีมาท่อนหนึ่ง แล้วแกะเอาส่วนที่ไม่ใช่ช้างออกไป
สุดท้ายก็จะเหลือเพียงสิ่งที่เป็นช้างจริงจริง เท่านั้นเอง”
..
เมื่อลองพิจารณาดูดีดี
เราต่างก็ต้องการความสุข ความสำเร็จ
อิสรภาพในการใช้ชีวิตอย่างแท้จริงกันทั้งนั้น
แต่น่าเสียดาย ที่การพุ่งเป้าหมายนั้น
องศาการเล็งคลาดเคลื่อนไปจากวัตถุประสงค์หลักไปเพียงนิดเดียว
สาเหตุเล็กๆบางอย่าง เช่น
การตื่นเช้ามา..เราเต็มที่ในการรับรู้เรื่องราวรอบตัวของผู้คน
จากสื่อทีวี และสื่อต่างๆ มากมาย
ดึงดูดเอาเวลาที่แท้จริงของเราไปจนหมดสิ้นอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว เป็นต้น
..
การสรรหา เพื่อเติมเต็ม ให้ชีวิตครบถ้วนสมบูรณ์ จึงถูกแทรกด้วย
สิ่งที่ไม่สำคัญ สิ่งที่ไม่จำเป็น ให้กับชีวิตเราอยู่เป็นประจำ อาทิ
..
- ที่อยู่ของเรา ข้าวของภายในบ้าน มีพื้นที่ให้ของไม่จำเป็น
อยู่มากกว่าของที่จำเป็น เช่น ตุ๊กตาจากงานวัด
เราหอบกลับมาบ้าน สุดท้ายแล้วก็ไม่รู้จะเอาไปไว้ที่ไหน
เนื้อที่ใช้สอย เหลือไว้ให้เป็นที่วางตุ๊กตา
กลับกลายเป็นแรงกดดัน เป็นภาระไปในที่สุด
จะทิ้งก็เสียดาย จะเก็บไว้ก็รกรุงรัง

- หรือจะเป็นการรับประทาน ยามหิวกระหาย
เราสั่งทำอาหารเต็มโต๊ะ แล้วก็ทานได้เพียงไม่กี่อย่าง
โดยมีของแถมตามมาด้วยเป็นไขมันชั้นเลว และโรคร้าย

- การผลิตสินค้า โดยให้มีความหลากหลายจนล้นเหลือ
กระทั่งทำให้ลูกค้าเองก็ไม่รู้จะเลือกอะไรดี
แม้อันที่ลูกค้าเลือกเองนั้น จะคุ้มค่าคุ้มราคาแล้วก็ตาม

เราอาจพลาดความเรียบง่าย แต่กลับได้ผลที่คุ้มค่ายิ่งกว่า  อาทิ
ไลฟ์สไตล์การใส่เสื้อยืด กางเกงผ้า รองเท้าคู่โปรด
เดินด้วยท่าทางสบายๆ ไปไหนไปกันทุกที่
..
อาคารที่ถูกออกแบบมาอย่างเรียบง่าย เป็นกล่องโล่ง
ดูแล้วสบายตา อยู่แล้วสบายใจ ทำให้มีความคลาสสิคอย่างไม่น่าเชื่อ
..
ศาสนาและปรัชญา เต๋ากับเซน ใช้ประโยค ใช้คำพูด
ใช้การกระทำง่ายๆ เพื่อให้คนเข้าถึงแก่นธรรมะ
ได้อย่างถูกต้องตรงประเด็น
..
ดังนั้น หากเพียงแค่เราเริ่มลองมอง ค้นหาเป้าหมายหลัก
โปรเจคหลักของชีวิต สิ่งที่สำคัญของชีวิตอย่างจริงจริงจังจัง
ค้นหาเนื้องานที่เราต้องการทำจริงๆ

ตื่นเช้าขึ้นมาทุกวัน เราจะสดชื่น และมีพลังอย่างที่สุด
การเดินหลงทางใจ วนเวียนไปกับบริการเสริมต่างๆ
ที่ทำใช้ชีวิตหมดไปกับสิ่งที่ไม่สำคัญ
กับคนที่ไม่สำคัญ หรือไปทำในสิ่งที่ไม่จำเป็น ก็จะหมดไป
..
สุดท้ายเวลาจะถูกใช้ไปจะน้อยที่สุด
แต่จะได้ความสำเร็จกับตัวเองมากที่สุด
ดอกผลแห่งความสำเร็จ  ..ก็จะเริ่มทยอยเรียงรายเบ่งบาน
พร้อมให้เราได้ดื่มด่ำชื่นชม โดยง่ายดายที่สุดเช่นกัน .. นั่นเอง

วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

วงกลมแห่งความสำเร็จในงานของมนุษย์

วงกลมแห่งความสำเร็จในงานของมนุษย์
..
ถือเป็นวิธีการที่ง่ายที่สุดในการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
อันก่อให้เกิดอิสรภาพทั้งทางกาย ทางใจ และทางการเงิน
..
โดยวงกลมแรก หมายถึง งานที่เรารัก งานที่เราชอบ งานที่เราอยู่กับมันได้ทั้งวัน
งานที่เราอยากตื่นนอนตอนเช้าขึ้นมาทำอย่างไม่มีเบื่อหน่าย ไม่สนใจเวลา
..
วงกลมที่สอง หมายถึง งานที่เรามีประสบการณ์
งานที่สร้างรายได้ให้เราอยู่ทุกๆวัน ทุกๆเดือน ทุกๆปี
งานที่เราฝึกฝนจนเกิดความชำนาญ เกิดทักษะ
..
วงกลมสุดท้าย หมายถึง งานที่เรามีความถนัด
เป็นงานที่เป็นเหมือนพรสวรรค์
งานที่สำหรับเราแล้วมันดูเหมือนช่างง่ายดายอะไรอย่างนี้
แต่กลับไม่ง่ายนักสำหรับหลายคน
ซึ่งถ้าเราได้ฝึกฝนมันอีกสักนิดสักหน่อย เราก็จะเก่งขั้นเทพเลยทีเดียว
..
ซึ่งในแต่ละวงกลม อาจมีหลายข้อ ที่ทั้งเป็นงานที่รัก ทั้งมีประสบการณ์ ทั้งถนัด
จากนั้น เอามาซ้อนทำกัน .. ก็จะพบว่า มีเพียงไม่กี่งานเท่านั้น
ที่ตอบโจทย์ทั้งสามอย่าง ได้ทีเดียวพร้อมๆกัน
..
ซึ่งนั่น จะทำให้เราไม่ต้องไปเสียเวลาค้นหาหมื่นล้านอย่างแห่งความล้มเหลว
แต่เราจะได้ค้นพบเพียงหนึ่งเดียวแห่งความสำเร็จ ในแบบฉบับที่เป็นเรา
..
เพราะนั่นคือ ชีวิตที่มีตัวเราเองเป็นผู้กำหนด และตัดสินใจ
คนเดียวเท่านั้น ที่จะไขกุญแจแห่งประสบความสำเร็จได้
..
โปรดใช้ความสงบ นั่งฟังเสียงหัวใจตัวเอง
..
อย่าเพียงแต่ หรือแค่ใช้ความคิดเอง เออเอง
เพราะความคิดไม่ใช่ตัวปัญญา
"ความสงบ ความมีสมาธิ" ต่างหาก
คือตัวปัญญาที่แท้จริง ..
ปล่อยวางจิตให้ว่างเปล่า หายใจเข้า หายใจออก อย่างมีสติ
แล้วเราก็จะค้นพบยักษ์ในตะเกียงวิเศษที่พร้อมจะหลุดออกมา นั่นเอง

วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Nobody's Perfect : ไม่มีใครในโลกนี้สมบูรณ์แบบแม้แต่คนเดียว

..
ชีวิตมนุษย์ มักถูกตรึงไว้ด้วยกับดักทางความคิดของตัวเองมาช้านาน
ที่คอยยึดเหนี่ยว ตอกย้ำ ให้เราดูย่ำแย่อยู่ตลอดเวลา
โดยเฉพาะ ในยามที่เราต้องเปรียบเทียบกับใครสักคนที่เค้าดูดีกว่า
..
แท้จริงแล้ว โดยหลักแห่งธรรมะ
พยายามจะกระซิบบอกเราอยู่ทุกปัจจุบันขณะว่า ในโลกใบนี้
หาได้มีใครสูงกว่าเรา หรือมีใครต่ำกว่าเราไม่
หรือกระทั่ง ผู้ที่เสมอกับเรา ก็มิได้มีเลยแม้แต่เพียงคนเดียว
..
มนุษย์ซึ่งหากมองดูเผินๆ อาจดูเหมือนคล้ายๆกันไปหมด
แต่ความจริง คนแต่ละคน มีองค์ประกอบที่แตกต่างกัน
ไม่ว่าจะเป็น ด้านกายภาพ รูปร่างหน้าตา DNA
เซลล์ความรู้ ความสามารถที่ถูกส่งมอบต่อมาจากบรรพบุรุษ
สภาพแวดล้อม แนวความคิด พรสวรรค์ อันแตกต่าง
ผสมผสานให้กลายเป็นตัวของเรา
..
กระทั่งได้มีผู้คิดค้นวิธีการปลดล็อคตัวเราเอง
ให้หลุดจากพันธนาการทางความคิดของตัวเราเองให้ได้
ด้วยการตั้งคำถาม ที่ว่า..
..
"อะไรคือสิ่งที่เรามี ในขณะที่ผู้อื่นนั้นไม่มีเหมือนเรา"
..
เช่น หาก เราเปรียบเทียบกับ เพื่อนบ้าน ..
เค้าอาจมีรูปร่างดี แต่ในกระเป๋าก็เต็มไปด้วยยารักษาโรค
เค้าอาจมีชื่อเสียง แต่เค้าไปไหนมาไหนก็ไม่ค่อยมีอิสระ
เค้าอาจมีคนรักมากมาย แต่เค้าก็อาจไม่มีเวลาให้กับตัวเอง
เค้าอาจมีความสามารถหลายอย่าง แต่เค้าก็ทำงานที่เราถนัดได้ไม่ดีนัก
ฯลฯ เป็นต้น
โดยยิ่งตั้งคำถาม และ ค้นหาคำตอบได้เยอะ ..
ก็ยิ่งจะค้นพบคุณค่าในตัวของเราเพิ่มมากขึ้น
..
ความสุดยอดและตัวตนที่แท้จริงของเรา
ถูกซ่อนอยู่ในคำถามและคำตอบนี้
และคนเดียวที่จะตอบได้ นั่นก็คือ ตัวเราเท่านั้นเอง
ท้ายที่สุด ชีวิตจะกลายเป็นของเรา
..โดยสมบูรณ์แบบ..อย่างแท้จริง.. นั่นเอง

วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เพิ่มศักยภาพได้..ด้วยกระดาษเพียงแผ่นเดียว!!

..
เพิ่มศักยภาพได้..ด้วยกระดาษเพียงแผ่นเดียว!!
..
กระบวนการทางความคิดของคน
มักจะถูกทำลายไปมากที่สุดในช่วงเวลาเช้าตรู่
อันเนื่องมาจากสมองส่วนหน้า ซึ่งทำหน้าที่
คิด วิเคราะห์ แยกแยะ และ ตัดสินใจ
ถูกแทนที่ด้วยข้อมูลอื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้องใดๆกับเป้าหมายของชีวิต
ทำให้สมองอันสดชื่นส่วนนี้ ถูกใช้พลังงานไปจนหมดสิ้น..
จนไม่เหลือให้เราได้ใช้ประโยชน์ในการคิดวิเคราะห์ตัดสินใจเรื่องสำคัญๆ
..
ทั้งนี้ก็เป็นเพราะ มีการรับฟังข้อมูล ข่าวสาร ต่างๆ ทางทีวี วิทยุ
การเปิดข้อมูลเช็ค Facebook ,Email ,Line
ซึ่งไม่ได้มีความจำเป็นต่อเป้าหมายในชีวิตอย่างแท้จริง
..
ดังนั้น วิธีการ เพิ่มศักยภาพให้ตัวเอง จึงง่ายดาย
เพียงแค่ เรา เอากระดาษมาหนึ่งแผ่น แล้วเขียนกระบวนการดังนี้
1. Project
คือ โครงการในชีวิตที่เราตั้งใจไว้ เป็นเป้าหมายในชีวิต ว่ามีอะไรบ้าง
เขียนออกมาให้หมด มีกี่ข้อ ก็เขียนออกมา
เช่น เขียนหนังสือ แต่งเพลง ลดน้ำหนัก พักร้อน ลงทุน ฯลฯ
โดย จะทำได้หรือไม่ได้ จะทำมันยังไง ยังไม่ต้องไปสนใจ
2. People
คือ บุคคลที่เราจะเข้าไปพบพูดคุย เพื่อขอความรู้
เพื่อให้ได้แนวทาง หรือวิธีการ ที่จะทำให้โครงการนั้นๆของเราเป็นจริงขึ้นมา
อาจเป็นบุคคลที่เป็น Idol ของเรา เป็นคนที่เรายอมรับนับถือ
(ถ้าไปพบตัวจริงไม่ได้ ก็ดูผ่าน Youtube หรือหนังสือ ตำราที่คนๆนั้นเขียนขึ้น )
3. Priority
คือ สิ่งที่เราจะลงมือทำมันในวันนี้ มีอะไรบ้าง
เรียงลำดับความสำคัญของโครงการในชีวิตเราออกมา
แล้วค่อยๆ ลงมือทำ ..
..
แล้วกระดาษเพียงแผ่นเดียวนี้ จะเปลี่ยนชีวิตคุณทั้งชีวิตไปเลยทีเดียว
ก็โดยเมื่อ ต้นเหตุเปลี่ยน..ผลลัพธ์ที่ได้ก็ย่อมเปลี่ยน
ด้วยวลีที่ว่า .. การเปลี่ยนแปลงไม่การันตีความสำเร็จ
แต่ถ้าอยากสำเร็จ จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลง .. นั่นเอง

วันพุธที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

อิสรภาพในการใช้ชีวิต (FREEDOM)

..
ถ้าวันนี้พวกเราจะมาตั้งคำถามเล่นๆกันว่า..
อะไร คือ สิ่งที่เราต้องการในชีวิตอย่างแท้จริง.. ??
..
เงินเก็บออม ทองคำ แหวนเพชร บ้าน รถ เครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ
คือทั้งหมดในชีวิต คือสิ่งที่ชีวิตเราต้องการจริงๆ ใช่หรือเปล่า..??
..
หากคำตอบคือ "ไม่"
งั้นเรามาลองตั้งข้อสังเกตดู  ก็จะค้นพบว่า
สิ่งของหลายชิ้น หลายอย่าง ต่างก็ไม่ได้ทำให้เราไปถึงสิ่งที่เราต้องการอย่างแท้จริง
พอมีแล้วกลับทำให้เรา รู้สึกวิตกกังวลมากขึ้น กลัวมากขึ้น
จะไปไหนมาไหน ก็ดูเหมือนมีห่วงมากขึ้น
อาจมีเพียงไม่กี่ชิ้นในบ้านที่ทำให้เรารู้สึกโล่ง โปร่ง เบาสบายกับมันจริงจริง
..
มีคำตอบที่น่าสนใจ
สำหรับความต้องการของมนุษย์อย่างแท้จริง.. นั่นคือ ..
 มนุษย์เราส่วนใหญ่ต่างก็ต้องการ  ..
..
" อิสรภาพในการใช้ชีวิต (FREEDOM)"
..
เพราะมันจะทำให้เรามีเวลา ได้ทำในสิ่งที่เราอยากทำ
มีอิสรภาพที่จะเลือกสิ่งต่างๆในชีวิตด้วยตัวของเราเอง
สิ่งที่เราทำมันแล้ว เรารู้สึกภาคภูมิใจในตัวเอง
..
แต่ชีวิตของคน ก็ดูเหมือนไม่ง่ายอย่างนั้น..
เพราะติดกับปัญหาหลายอย่าง..แต่นั่นไม่สำคัญ
เพราะมันไม่ใช่ปัญหาที่แท้จริง
..
ปัญหาที่แท้จริง ที่ทำให้มนุษย์ไม่มีอิสรภาพในชีวิต เกิดจาก
1. การดูถูกตัวเอง คือ มองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง
2.การรับคำดูถูกจากสังคม คือ ยอมรับคำพูดของผู้คนแล้วนำมากำหนดชีวิตตัวเรา
..
มนุษย์ส่วนใหญ่ ชอบกดขึ่ข่มเหงตัวเอง
ริดรอน บั่นทอน อิสรภาพของตัวเอง มาอย่างยาวนาน
และอาจทำอย่างนี้ตั้งแต่เกิดจนตายเลยก็มีไม่น้อยเลย
ซึ่งทำให้เราขาดอิสรภาพอย่างสิ้นเชิง
เปรียบเสมือนเป็นอัมพาตทั้งทางกายและทุพพลภาพทางใจ ..
..
ทั้งๆที่จริง ความสำเร็จ หรือ เป้าหมายสูงสุดในชีวิตนั้น
ไม่ได้มีเงื่อนไข ไม่ได้มีข้อจำกัดใดใดเลยแม้แต่นิดเดียว

ถ้าตอนนี้เรายังดูเด็กไป เราก็มีโอกาสได้รับความเอ็นดูจากผู้ใหญ่ใจดี
ถ้าตอนนี้เราดูแก่ไป เราก็เปี่ยมล้นด้วยประสบการณ์อันมากมาย หลายหลาก

ไม่สำคัญว่าเราจะเป็นใคร หน้าตา ฐานะ แบบไหน เกิดในตระกูลของใครก็ตามแต่
สิ่งสำคัญอยู่ที่ "เราทำ หรือ ไม่ทำ" ตามความต้องการจากใจจริงๆของเราหรือเปล่าเท่านั้น

..
เพียงเรารู้จักตั้งเป้าหมายให้เป็น ..
ตั้งเป้าหมายเอาไว้ แล้วเดินทางไป แต่ถ้าไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร
..
ชีวิตเราประสบความสำเร็จเป็นสิบๆครั้งในแต่ละวัน
อาบน้ำ ทานอาหาร ออกกำลังกาย อะไรก็ได้ที่เราได้ทำ มันคือความสำเร็จ
เพียงแต่เรามองข้าม มองไม่เห็น มองไม่ออก ว่ามันคือความสำเร็จ
เรามักจะไปให้ความสำคัญเฉพาะตอนที่เราไปแตะเป้าหมายใหญ่ๆได้เท่านั้น ซึ่งมันน่าเสียดายเอามากๆ
..
ฉะนั้น จากนี้ไป ไม่ว่าเราจะทำอะไร ทำได้แค่ไหน ดีที่สุดถึงไหนก็ตาม
ให้เรา กำหมัด และ ร้อง Yes..!!! กับตัวเราดังดัง ..
ขอบคุณและชื่นชม (acknowledge) ตัวเราเองบ้าง..
เพราะคนที่อยู่ต่อหน้าเราในกระจก
เค้าคือคนคนเดียว ที่จะพาเราไปถึงอิสรภาพในชีวิตที่เราต้องการอย่างแท้จริง.. นั่นเอง

วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

กฎแห่งแรงดึงดูด

..
พลังแห่งสมองมนุษย์นั้น ว่ากันว่า มีอานุภาพเหลือคณานับ
สามารถเปลี่ยนโลกได้ทั้งใบ สร้างนวัตกรรมล้ำสมัยยิ่งกว่าในจินตนาการ
พลิกชีวิตมนุษย์ธรรมดาให้กล้าแกร่งได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด
..
นักวิทยาศาสตร์ นักจิตวิทยา จึงต่างพากันศึกษา วิเคราะห์ ทดลอง
จนกระทั่งค้นพบ กฏเหล็กที่มนุษย์คาดไม่ถึง นั่นคือ
"กฎแห่งแรงดึงดูด"
มันทำหน้าที่เป็นกฎแห่งจักรวาล
ที่มีพลังดึงดูดดุจแม่เหล็ก
และทำงานตลอดเวลา ไม่ว่าจะยามหลับยามตื่น
ไม่ว่าคุณจะปล่อยพลังงานความคิดของคุณ
ไหลไปยังสิ่งที่คุณต้องการหรือไม่ต้องการก็ตาม
แค่คุณสนใจหรือเพ่งความคิดไปสู่สิ่งนั้นๆ
คุณจะดึงดูดสิ่งนั้นๆเข้ามาในชีวิตคุณ

ต่อให้เราไม่เคยรู้เลยว่า กฎแห่งแรงดึงดูดคืออะไร ..
เราก็ต้องอยู่กับมัน เพราะมันคือธรรมชาติ..
ขอยกตัวอย่าง .. ถ้าเรากระโดดออกนอกตึก ..
โดยไม่ว่าเราจะหล่อ จะสวย จะรวย จะเก่ง ยากดี มีจน ยังไง ..
เราก็ต้องตกลงมาสู่พื้นอยู่ดี .. ตามกฏธรรมชาติ
..
กฎแห่งแรงดึงดูดนี้ สามารถทำให้เรา
พบกับความสุข ความมั่งคั่ง ความสำเร็จ
สิ่งที่เราคิดอยากจะเป็น สิ่งที่เราใฝ่ฝัน ..
เราสามารถทำให้มันเกิดขึ้นจริงได้ ดังใจปรารถนา ..
..
..แค่เพียง .. เรารู้จักวิธี .. ใช้มัน .. นั่นคือ
ให้กฎแห่งแรงดึงดูด ..เชื่อมโยงกับสมองของเรา
แล้วมองให้เห็นภาพของสิ่งที่เราต้องการให้เกิดขึ้นกับชีวิตเรา
ราวกับว่า มันได้เกิดขึ้นมาแล้ว มันมีอยู่แล้ว มันอยู่กับเรา ณ ตอนนี้ เดี๋ยวนี้
(โดยเฉพาะนึกภาพดีดีในชีวิต..ในช่วงก่อนนอนหรือตื่นนอนตอนเช้าจะได้ผลหลายเท่านัก)
..
กลไกของสมองจะทำปฏิกริยารับรู้ข้อมูลนั้น เพื่อสร้างชุดโปรแกรมในการเริ่มทำงาน
สั่งการให้ผลลัพธ์เป็นไปอย่างที่เราสั่งให้สมองบันทึกข้อมูลเข้าไป ..
เนื่องจาก สมองของเรานั้น หากได้รับข้อมูลในสิ่งที่เราต้องการหรือไม่ต้องการ
มันมีหน้าที่ ทำสิ่งนั้น ขึ้นมาซ้ำซ้ำ กระบวนการคิดหาทางให้ได้มาซ้ำซ้ำ
..
และนี่ คือกฏแห่งแรงดึงดูด ที่อยากให้คุณทดลองด้วยตัวเอง .. นั่นเอง
..

วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

อำนาจพลัง"ความคิด"ของเรา


ความน่ารัก กับ ความน่ากลัว ..
ความดี กับ ความชั่ว
ความสุข กับ ความทุกข์
..
อยู่ที่ตัวเรา มีมุมมองทางความคิด
แปลความหมาย ให้กับของสิ่งนั้นไปในความรู้สึกแบบใด ..
..
หากเรามองคนๆหนึ่งน่ารัก เค้าก็คือน่ารัก
หากเรามองคนๆเดียวกัน ให้น่าเกลียด เค้าก็น่าเกลียด
..
ความน่ารัก กับ ความน่าเกลียด
หาได้เกิดจากคนๆนั้นไม่
แต่ กลับเกิดขึ้นจากมุมมองของเราแต่เพียงผู้เดียว
..
เมื่อเรามองคนๆนั้นน่ารัก เราก็เป็นสุข
เราก็จะได้เสพผลกระทบใจที่เป็นสุข
โดยในทางกลับ..
เมื่อเรามองคนๆนั้นน่าเกลียด เราก็เป็นทุกข์
เราก็จะได้รับผลกระทบใจที่เป็นทุกข์
กลับมาในทันที
..
ตัวเราเองจึงเป็นผลลัพธ์ที่เกิดจากอำนาจพลัง"ความคิด"ของเราเอง..
ที่ไปกระทบต่อเหตุการณ์ภายนอกต่างๆนานานั้น..
..
หากผู้คนบนโลกจะเรียกร้องความสุขจากโลกกลมๆใบนี้
สิ่งแรกที่ควรกระทำนั้นอย่างที่สุดนั้นก็คือ
โปรดเรียกร้องความสุขจากใจตัวเองให้ได้เป็นหลักแรก..นั่นเอง
..

วันพุธที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ชีวิตคน เริ่มต้น ที่ความคิด


ชีวิตคนเรา เริ่มต้น ที่ความคิด ..
ดังคำโบราณกล่าวไว้ว่า ..
หนทางร้อยลี้ เริ่มต้นที่ก้าวแรก .. กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว
เพียงแค่เริ่มต้น ก็ได้รับความสำเร็จไปแล้วกว่าครึ่ง ..
..
แต่ได้โปรดอย่าเพิ่งเชื่อ .. ถ้าหากยังไม่ได้ลองทดสอบด้วยตัวเอง
..
วิธีทดสอบ นั้นแสนจะง่ายดาย ด้วยการเริ่มต้น .."คิด"
.. คิดถึง.."เป้าหมายในชีวิต" สัก 20 ข้อ
เขียนมันขึ้นมาในกระดาษ .. เป้าหมายที่เป็นของเราเองจริงๆ
เป้าหมายที่ไม่ต้องสนใจใคร ไม่เกี่ยวข้องกับใคร เป้าหมายที่ไม่มีใครมาบังคับ
..
หลักการเขียนเป้าหมาย
- Dead Lineระบุ วัน เดือน ปี กำหนดระยะเวลา  ที่จะได้รับให้แน่นอน
- Focus เขียนให้เห็นภาพในสมองอย่างแจ่มชัด เช่น
เป้าหมายอยากได้บ้านสวยๆสักหลัง
ระบุไปเลยว่า บ้านหลังนี้มีกี่ชั้น ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัวสีอะไร
มีพื้นที่เท่าไหร่ ลักษณะของบ้านเป็นอย่างไร ลงรายละเอียดใส่เข้าไปให้ชัดที่สุด
- Relax ในขณะที่เขียน.. ค่อยๆ ลองคิด ไปเรื่อยเรื่อย ทำให้ใจสบายสบาย สนุกกับเป้าหมายของเราเอง
- Think Big เป้าหมายต้องใหญ่พอสมควร  เช่นบ้าน รถยนต์ เงินเก็บออม ควรมีมูลค่าหลักล้านขึ้นไป
..
เมื่อเขียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ..
ให้นำไปติดแปะไว้บนเตียงนอน หรือจุดที่สามารถมองเห็นได้ง่าย
(Always)
..
หากถึงวันที่เรากำหนดแล้ว ปรากฏว่าไม่ได้ในสิ่งที่เราต้องการ
สิ่งที่เราจะสูญเสียมากที่สุด นั้นก็คือ
"กระดาษ" เพียงแค่แผ่นเดียว ..
ถือเป็นการลงทุนที่ไม่แพง แต่ได้ผลคุ้มค่าเป็นที่สุด
..
คนเราส่วนใหญ่มักปฏิเสธความต้องการที่แท้จริงของตนเองมาโดยตลอด
ไม่ว่าจะเป็น การอยากมีเวลาพักผ่อน อยู่กับบ้าน ดูสาระดีๆทีวีที่เราชอบ
มีกิจกรรมสนุก เป็นงานอดิเรกที่เรารัก มีเงินซื้อของกิน ของใช้
เครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ มีเวลามีเงินไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ ในยามที่ร่างกายแข็งแรงดีอยู่..
..
แล้วเราก็พร่ำบ่นกับตัวเองว่าชีวิตไม่ได้ดั่งใจ
ซึ่งมันสวนทางกับความต้องการในใจเราจริงๆ
จริงๆมันเป็นเรื่องของความต้องการ ที่เราเพียงแค่ต้องยอมรับมัน
..
ขอแค่วันนี้ เริ่มต้น ด้วยการตั้งเป้าหมาย ขึ้นมา..
..
หนทางวิธีการให้ได้มาอย่างสุจริต จะค่อยๆปรากฎขึ้นมาให้เราเองโดยธรรมชาติ
อาชีพที่ดีๆ สุจริต ได้เงินเยอะๆ มีมากมาย หลากหลาย
เท่าที่เราเห็นดาษดื่นทั่วไปตามท้องถนน
..
ถ้าคิดไม่ออกก็แค่ Copy เลียนแบบ
จากนั้นก็มาประยุกต์พัฒนาให้ดีขึ้นให้เป็นไปในแบบที่เราชอบ ท้องตลาดชอบ ตลาดต้องการ
เพราะอัจฉริยะส่วนใหญ่ก็เริ่มต้นจากการ Copy กันทั้งนั้น .. นั่นเอง
..
อย่าเพิ่งเชื่อ จนกว่าจะได้ลอง ด้วยตัวคุณเอง
ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จในชีวิตกันนะครับ

วันอังคารที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

โอกาสทาง..ความคิด" ที่แตกต่างกัน

..
มนุษย์เรามีเวลา 24 ชั่วโมงต่อ 1 วันเท่ากัน ..
ส่วนใหญ่มีร่างกายครบ 32 ประการเท่ากัน ..
แต่ที่น่าแปลกก็คือ .. มนุษย์กลับประสบความสำเร็จไม่เท่ากัน .. ???
..
หากเราลองพิจารณากันอย่างถ้วนถี่ก็จะค้นพบว่า ..
อะไรคือสิ่งที่ทำให้คนเราประสบความสำเร็จ
- ความขยัน
- ความฉลาด
- ความมีต้นตระกูลดี
- ความหล่อ ความสวย
- ความมีการศึกษาสูง
- ความแข็งแรง
- ฯลฯ
เหล่านี้ ไม่ได้การันตีความสำเร็จของมนุษย์
หากแต่เพียงมันเป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งเท่านั้น
..
คำตอบสุดท้ายที่ชัดเจนที่สุด นั้นก็คือ
..
เพราะมนุษย์แต่ละคน ได้รับ..
.. "โอกาสทาง..ความคิด" ที่แตกต่างกัน ..
..
อัน "ความคิด" นั้นสำคัญยิ่ง เพราะมันคือ
ตัวกำหนด ในสิ่งที่เราเป็นและกำหนดในสิ่งที่เราทำ ..
..
เราจึงต้องระมัดระวังความคิดของเราให้ดีอยู่เสมอ ..
ด้วยการเริ่มต้น คิด..
คิดถึงสิ่งที่เราต้องการ ให้มากกว่าคิดถึงสิ่งที่เราไม่ต้องการ ..
..
คนที่เราเกลียด หากเราคิดถึง เราจะดึงดูดเขาเข้ามาใกล้ๆโดยไม่รู้ตัว
อย่างที่มีคำพูดว่า .. เกลียดอะไร ได้อย่างนั้น ..
..
อยากลดความอ้วน ให้ผวนและหวนคิดใหม่ ว่า ..
อยากให้รูปร่างดี มีสุขภาพแข็งแรง เข้ามาแทน..
..
เพราะความคิด ที่ INPUT โปรแกรมข้อมูลดีดีเข้าไป
จะส่งผลต่อยอดให้เราได้รับสิ่งที่ดีดีกลับคืนมา
เริ่มต้นจากความคิดภายในให้ได้ก่อน
แล้วมันจะค่อยๆส่งผล Out Put ออกมาสู่ภายนอกอย่างเป็นรูปธรรม
ให้เราได้ชื่นฉ่ำ เป็นสุขใจ พร้อมนำเราไปสู่ความเจริญก้าวหน้า ด้วยกัน .. นั่นเอง

วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ทฤษฎีแห่งการเรียนรู้ของมนุษย์

..
ทฤษฎีแห่งการเรียนรู้ของมนุษย์ มี 4 ประเภท ด้วยกันคือ ..
1. ประเภทที่ รู้ ว่าตัวเอง รู้
.. บุคคลกลุ่มนี้ มักจะรู้ว่าตัวเองดีว่า เกิดมาเพื่อเป็นอะไร เป็นใคร
จะเติบโตไปในทิศทางไหน จะสร้างสรรค์อะไรให้โลกใบนี้ได้บ้าง
ยกตัวอย่าง ท่านพระพุทธทาสภิกขุ , สตีฟ จ็อบ ,ไมเคิล แจ็คสัน ,บรู๊ซลี
,โธมัส เอดิสัน ,มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ,นโปเลียน ฮิลล์ ฯลฯ
..
2. ประเภทที่ รู้ ว่าตัวเอง ไม่รู้
.. บุคคลกลุ่มนี้ รู้ตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า การจะเป็นคนรอบรู้ได้นั้น
จำเป็นต้องขวนขวาย ศึกษาค้นคว้า มุ่งมั่น พยายาม
จากผู้ที่มีความรู้ความสามารถ ควานหาครูดี ตำราดี ฝึกฝน
จนเกิดทักษะ ความชำนาญ เพื่อตนเองจะสามารถขยับมาเป็นผู้รู้ได้ ในที่สุด
..
3. ประเภทที่ ไม่รู้ ว่าตัวเอง รู้
.. บุคคลประเภทนี้ เรียกว่า "ยักษ์หลับ" คือไม่เคยรู้ตัวเองมาก่อนเลยว่า ..
ตนเองนั้นมีความสามารถในด้านใดด้านหนึ่งอย่างเป็นอัจฉริยภาพ หรือพรสวรรค์
หากได้มีโอกาสลองทำในสิ่งนั้น กลับสามารถทำได้ดีกว่าพวกที่ร่ำเรียนมาอย่างน่าประหลาดใจ ..
คนกลุ่มนี้จึงต้องอาศัยการค้นคว้าหาตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง
เพื่อจะได้ดึงเอาศักยภาพที่แฝงเร้นอยู่ภายใน นำออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
..
4. ประเภทที่ ไม่รู้ ว่าตัวเอง ไม่รู้
.. คนประเภทนี้ คือกลุ่มคนที่น่าเป็นห่วงที่สุดในสังคม
พวกเขาเหล่านี้จะพยายามสร้างกำแพงหน้า 7-8 ชั้น
และบอกผู้คนรอบกายว่า .. ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน ฉันรู้แล้ว ฉันเก่งมากแล้ว ..
ทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้วอยู่ตลอดเวลา ..
ฉะนั้นจะสังเกตได้ว่า คนกลุ่มนี้ จะชอบพูดโอ้อวดหรือทำอะไรก็มักบิดเบือนไปจากข้อเท็จจริงเสมอ
..
..
เพราะเหตุนี้ การเรียนรู้ จึงถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งของชีวิตมนุษย์ ..
ที่จะทำให้เราได้รู้จัก .." การเสียเวลา เพื่อ ประหยัดเวลา "
ให้การดำเนินชีวิต ง่ายขึ้น สำเร็จในระยะเวลาอันรวดเร็วขึ้น ..
หากผ่านการฝึกฝน ผ่านน้ำมืออาจารย์ที่ดีมีเมตตาอย่างยอดเยี่ยม ..นั่นเอง
..

วันอาทิตย์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ชีวิต อยู่ที่เราตัดสินใจเองว่า จะสุข หรือ จะทุกข์


..
แม้พระจันทร์วันเพ็ญจะงดงามสักเพียงไหน
หากดวงใจของเราเศร้าหมอง หรือมีเรื่องกังวลใจ ..
ก็ย่อมจะบดบังความเลอค่าของพระจันทร์ลงไปในทันที.. 
อันความงดงาม นั้นหาใช่อยู่ที่พระจันทร์ไม่ .. 
แต่กลับอยู่ที่ความรู้สึกภายในจิตใจของเราในช่วงเวลานั้นต่างหาก..
..
ผู้คนมากมาย ชอบที่จะรอคอยความสุข หลังเลิกงาน 
จนลืมความรู้สึกที่เป็นสุขในระหว่างการทำงานไปเสียหมดสิ้น ..
ปล่อยให้เวลาที่มีความสุขนั้นถูกจำกัดไว้ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งอย่างน่าเสียดาย ..
..
ดังนั้น .. เพื่อให้เราไม่เอาเปรียบตัวเราเอง ในฐานะที่เป็นผู้เลิศด้วยปัญญา
แค่เพียงความคิด ที่ปักเสาเข็ม ฝังรากความคิดบวก คิดเพิ่ม 
คิดให้ใจดีดี ตอกย้ำไปทุกวันทุกเวลา ทุกวินาที แบบไม่ต้องรั้งรอ 
ก็จะกลายเป็นพื้นฐานที่เน้นย้ำให้ความสุขเกิดขึ้นมา
ภายในระบบเส้นประสาทอย่างเป็นอัตโนมัติ..
..
ชีวิต อยู่ที่เราตัดสินใจได้เอง ว่าจะทุกข์ หรือ จะสุข แล้วเดินไปแบบสบาย 
เมื่อกำหนดเป้าหมายไว้ชัดเจนแล้ว ..ก็จงวางผลลัพธ์เอาไว้ก่อน แล้วทำเหตุให้มันดี
เมื่อเราตั้งใจทำเหตุให้ดีที่สุด ผลลัพธ์กลับมาจะส่งให้เราได้ทุกอย่างที่เราต้องการ 
..
ในยามใดที่เราหม่นหมองเศร้า ก็เท่ากับว่าตอนนั้นเรากำลัง Fake 
เรากำลังโกหกหลอกลวงตัวเองและหลอกลวงคนอื่นๆ 
เพราะชีวิตจริงเรามันไม่จำเป็นต้องรู้สึกอย่างนั้น 
ชีวิตไม่ใช่ในละคร หรือนิยายที่คอยบอกว่า ชีวิตต้องวุ่นวาย 
ไม่มีประโยชน์ใดใดเลยสักนิดที่จะไปคิดอย่างนั้น
..
การถูกปลอบใจอยู่ตลอดเวลา ไม่อาจส่งผลให้ชีวิตดีขึ้นในระยะยาว
เราจึงควรที่จะเปลี่ยนวิธีคิด จากปรับทุกข์ ให้มาเป็นรู้จัก..ปรับสุข..แทน 
เพราะชีวิตของเราเกิดมา มีสิทธิ์อย่างชอบธรรม ในการที่จะมีความสุขโดยสมบูรณ์
ซึ่งถือเป็นกฏแห่งธรรมชาติ ที่ส่งมอบปัญญานี้ มากับมนุษย์ทุกผู้ทุกนามอยู่แล้ว นั่นเอง
..

วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

กฏแห่งหยินหยาง



..
ใดใดในโลกนี้ ล้วน มีคุณค่า .. มีความหมาย ด้วยกันทั้งสิ้น..
เราไม่อาจแบ่งแยก หรือ สรุปได้ว่า คนใด หรือ สิ่งใด ดีหรือไม่ดี ..
..
อันดอกบัวที่ดูชูช่อสวยงาม นั่นก็เพราะอาศัยสารอาหารจากโคลนตม..
ฉันใด ก็ ฉันนั้น .. 
..
กฏแห่งหยินหยาง เป็นคำตอบ ที่ชัดเจน ถูกต้อง เข้าใจได้ง่าย..
เมื่อ ในดำ ยังมี ขาว .. และ ในขาว ยังมีดำ ..
ซึ่ง ลึกไปยิ่งกว่านั้น ในจุดขาวๆทีอยู่ในด้านดำ .. 
ก็ยังมีดำซ่อนอยู่ในจุดขาวนั้น..ลงไปอีกหลายชั้น
..
ดังนั้น ไม่ว่าสถานการณ์หรือเรื่องราวใดใด ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่อาจ
สรุป หรือ วิพากษ์วิจารณ์ไปในทิศทาง ดี หรือ ไม่ดี ได้ ..
..
ยกตัวอย่าง การเมือง มีปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ สังคม
ก็ทำให้ประเทศเรา ใส่ใจในความสุขทางใจมากขึ้น
คนส่วนใหญ่ หันมาชำระล้างใจให้ใสสะอาดมากขึ้น
..
ขณะที่บางประเทศอภิมหาอำนาจ เจริญทางด้านวัตถุ 
แต่จิตใจกลับสับสน ว้าวุ่น วิ่งวุ่นทำงานกันอุตลุต 
ตอบสนองเพียงแค่เงิน แต่ไม่ตอบสนองความรู้สึกจริงๆภายใน .. เป็นต้น .. 
..
อีกหลากหลาย เหตุการณ์ หลากหลายคน ที่เราพบ ..
จึงเห็นควรเป็นอย่างยิ่ง .. ที่เราจักทำความเข้าใจ ..อย่างถ่องแท้ ..
ว่า นั่นคือ ธรรมชาติ เป็นส่วนหนึ่ง ของความจริง .. 
.. ปล่อยวางด้วยใจที่สงบ ให้จิตนิ่ง ว่างเปล่า ..
.. แล้วผลพวงแห่งความคิดนี้ จะต่อยอดให้เกิดความสุขที่จีรังยั่งยืน อย่างที่สุด ..
กับเรา .. ทุกผู้ ทุกนาม .. นั่นเอง ..

ทรัพยากรมนุษย์ แปรเปลี่ยนทรัพยากรธรรมชาติรอบตัวให้เกิดประโยชน์สูงสุด

..
ทรัพยากรธรรมชาติในโลกนี้ มีความสำคัญ แตกต่างกันออกไป ..
ตั้งแต่ในยุคอดีต นับหลายพันล้านปีก่อน
โลกของเรานั้นมี ต้นไม้ น้ำมัน ดิน น้ำ อากาศ ฯลฯ
เป็นทรัพยากรที่คงอยู่อย่างนั้นมาเนิ่นนาน ..
..
กระทั่ง มนุษย์ ได้วิวัฒนาการตัวเองขึ้นมาตามกาลเวลา
แล้วในที่สุด ก็สามารถนำทรัพยากรที่มีอยู่รอบตัว
มาประดิษฐ์ คิดค้น เครื่องมือ เครื่องใช้ต่างๆ
.. เป็นที่มาให้เกิดโลกใหม่ โลกที่ค่อยๆพัฒนาเจริญก้าวหน้า
พร้อมนวัตกรรมใหม่ๆ มากมาย
.. ดังที่เราเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน ..อาทิ
.. บ้าน รถยนต์ โทรทัศน์ โทรศัพท์ อินเทอเน็ตฯ อันล้วนเป็นผลงานมนุษย์ทั้งสิ้น ..
..
ทรัพยากรมนุษย์ จึงถือเป็นกลไกสำคัญ ในการขับเคลื่อนโลกทั้งใบ ..
ดังนั้น องค์การที่ต้องการความเจริญก้าวหน้า จึงต่างพากันให้ความสำคัญ
กับทรัพยากรบุคคล อันถือเป็นตัวแปรที่จะหยิบยื่นความยิ่งใหญ่ให้แก่องค์การ ..
..
ยกตัวอย่าง..
บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง SONY ที่หวนกลับคืนสู่วงการเครื่องใช้ไฟฟ้าอีกครั้ง
อย่างเต็มภาคภูมิ กับ วีดีโอเกมส์ Play Station
ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงสุดในยุคนั้น ..
..
บริษัท รถยนต์ หลายยี่ห้อ ที่พลิกฟื้นสถานการณ์ทางเศรษฐกิจขึ้นมาได้
ด้วยแนวคิด รถยนต์ แบบ ECO CAR .. รถเล็กประหยัดน้ำมัน ..เป็นต้น
..
เราไม่อาจปฏิเสธพลังความคิดของมนุษย์ได้เลย
..
เพราะหากมนุษย์สามารถนำพลังแห่งความสุขออกมาใช้ได้อย่างถูกต้อง..
ลบขยะในความคิดที่ถูกฝังรากลึกของความเลวร้ายออกไป
ตอกย้ำฝังรากแห่งความสำเร็จ
ด้วยการรดน้ำพรวนดินใส่ปุ๋ยทางความคิดดี คิดบวกอย่างสม่ำเสมอ ..
..
ณ วินาทีนั้น ฉับพลับ สารแห่งความสุข จะก่อให้เกิดปัญญาที่วิเศษสุด ..
ต่อส่วนรวมอย่างแท้จริง ..
..
ปลดเปลื้องความทุกข์ ปลดล็อกความอิจฉา หลุดออกจากพันธนาการอันย่ำแย่..
..
เพราะ .. ทันทีที่มนุษย์เปลี่ยนความคิด .. ชีวิตทั้งชีวิต.. จะเปลี่ยนไป ..
..
เมื่อการกระทำเปลี่ยน ผลลัพธ์ย่อมเปลี่ยน //
ความเปลี่ยนแปลงไม่อาจการันตีความสำเร็จ
แต่ คนประสบความสำเร็จย่อมต้องมีการเปลี่ยนแปลง .. นั่นเอง

วันพุธที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

คุณประโยชน์ : ของบุคลากรในองค์กร

..
คุณประโยชน์ : 
ของบุคลากรในองค์กรนั้น มีมากมาย .. เหลือคณานัปการ
ทั้งผลกำไรของบริษัทฯ แนวทางการแก้ไขปัญหาที่ถูกต้อง
ผลผลิตที่มีคุณภาพ ความรัก ความสุข ความสำเร็จ ร่วมกันอย่างล้นเปี่ยม ..
..
โดยแม้จะมีเครื่องจักรกลที่ยอดเยี่ยมที่สุด
แต่ไร้ซึ่งบุคลากรที่ยอดเยี่ยม มาขับเคลื่อน ..
ก็ไม่ต่างจากมีเศษเหล็กขนาดใหญ่กองไว้ภายในองค์กรเพียงเท่านั้น ..
..
คนจึงถือเป็นรากฐานสำคัญ ของความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของทุกองค์กร
..
การส่งมอบความสุข ..3 ประการ คือ
// ความสุขทางกาย(ด้านรายได้)
// ความสุขทางใจ(ความรู้สึกที่ดี)
// ความสุขทางความคิด(ความรู้)
..
จะสามารถปลดปล่อยพื้นที่ให้บุคลากรมีโอกาส
เรียนรู้ความผิดพลาดไปด้วยกัน
ได้นำเสนอ ได้ร่วมคิด ได้ร่วมปรึกษา หาแนวทางการแก้ไขปัญหาร่วมกัน..
ก่อให้เกิดความภาคภูมิใจให้กับตัวเอง และความรู้สึกมีคุณค่าในการทำงาน ..
เกิดการลดช่องว่างระหว่างผู้บริหารและระดับคนทำงานอย่างเหมาะสม
..
อนึ่งการเป็นผู้นำ
ไม่อาจใช้ ความรู้ หรือ ตำแหน่ง เพียงแค่นั้น เข้าไปนำใจคนได้ ..
หากแต่ ต้องใช้ ความรัก ความเมตตา ความจริงใจ ความรู้สึกดีดีต่างๆ ..อีกด้วย
อันจะเป็นการเข้าไปกระตุ้นขุมพลังที่มีอยู่
พร้อมดึงศักยภาพอันเปี่ยมล้นภายในตัวมนุษย์ทุกผู้ทุกนามอยู่แล้ว
ให้สามารถนำออกมาใช้การได้อย่างคุ้มค่าที่สุด ต่อตนเองและสังคม..นั่นเอง
..

วันอาทิตย์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ทรัพยากรบุคคล ถือเป็นรากฐานสำคัญขององค์การ

..
ทรัพยากรบุคคล ถือเป็นรากฐานสำคัญขององค์การ..
..
เฉกเช่น ..
เล่าปี่ต้องการความรอบรู้ของขงเบ้ง
โจโฉแสวงหาความซื่อสัตย์อย่างกวนอู
ซุนกวนต้องการความสามารถของจิวยี่ ฉันใด
.. องค์การที่ยิ่งใหญ่ก็ย่อมต้องมีทรัพยากรมนุษย์ที่ยอดเยี่ยมฉันนั้น ..
..
เมื่อองค์การให้ความสำคัญกับบุคลากรอย่างเต็มที่
ไม่หมกเม็ด
ที่จะให้พนักงานได้มีโอกาสสร้างความเจริญก้าวหน้าในที่แห่งนี้..
นอกเหนือจากรายได้ สวัสดิการ ความมั่นคง
ความก้าวหน้าที่เหมาะสมแล้ว ..
นั่นคือ "ความสุขทางความคิด"
.. บุคลากรก็จักตอบแทนด้วยศักยภาพที่มีอยู่ทั้งกายทั้งใจอย่างเต็มที่เช่นกัน ..
..
"ความสุขใจ" .. ที่ได้มา
 จะนำพาให้เกิดประโยชน์ทางการร่วมไม้ร่วมมือ
ร่วมแรงร่วมใจกันอย่างยอดเยี่ยมที่สุด
..
.. ด้วยรากฐานที่มั่นคง คือ คนทำงาน ..
ย่อมจักส่งไปถึงผลกำไรและหัวใจของพนักงาน
ที่รักองค์การ รักเพื่อนร่วมงาน รักเจ้านาย
เพิ่มพูนสูงขึ้นหลายเท่าทวีคูณ..นั่นเอง..