..

..

บอกบุญ สร้างศาลาวัด อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี

Profile โค้ชคม

Profile โค้ชคม

แนะนำ หลักสูตร การพัฒนาตนเองและทำงานเป็นทีมอย่างมีประสิทธิภาพ

วันอาทิตย์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2557

มุมมองที่แตกต่าง ไม่อาจสรุปได้ว่า "สิ่งใดดีหรือไม่ดี"

http://shartgroup.blogspot.com
..
มุมมองที่แตกต่าง ไม่อาจสรุปได้ว่า "สิ่งใดดีหรือไม่ดี"
..
สถานที่เดียวกัน
คนแต่ละคนก็มองเห็นไม่เหมือนกัน
สิ่งของอย่างเดียวกัน คนๆเดียวกัน
ก็ถูกมองไม่เหมือนกัน บางคนมองในแง่ดี บางทีมองในแง่ร้าย
..
สิ่งที่เกิดขึ้นกับเรามาโดยตลอด มันคือ ผลพวงจากการมองโลกของเราเอง
บรรยากาศ ความรู้สึกต่อสิ่งรอบตัว ในชีวิต
เป็นเพียงมุมมอง จากไม่กี่ด้านของทั้งหมด
..
ถ้าเปรียบตัวเราเป็นศูนย์กลาง
ผู้คนที่มองมาเห็นเรา
คนนี้จะเห็นแขนซ้าย คนนั้นจะเห็นแขนขวา
อีกคนเห็นด้านหน้า อีกคนเห็นด้านหลัง
ในวินาทีเดียวกัน คนมองเห็นเรา ก็เฉพาะด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น
..
โลกก็เช่นเดียวกัน เราจะมองเค้ายังไงก็ได้
เพราะโลกใบนี้ ก็เป็นของเค้าอยู่อย่างนั้น

จะมองว่าโลกมีความดีมากมายก็ได้
หรือมองให้โลกให้ร้ายก็ไม่ผิด

เพราะนั่นไม่ได้มีความหมายต่อโลก
แต่กลับมีผลต่อใจเราทันที ที่เรามองอะไรไป
โลกจะสะท้อนกลับมาอย่างนั้นให้เรากลับคืนมาทันที
..
ในเวลาที่เรามองหรือนึกถึง ใครๆในแง่ไม่ดี ..

ไม่ว่าคนๆนั้นจะเป็นคนดีหรือไม่ดีก็ตาม

ขัอเท็จจริงจะเป็น อย่างไรนั้น  ไม่อาจรู้ได้
เพราะเป็นเพียงมุมมอง ของเรา หรือคนที่เข้าข้างเรา เท่านั้น
..
แต่ที่แน่ๆ จิตใจของเราที่ส่งกระแสไปอย่างนั้น
ตัวเราเอง กลายเป็นคนไม่ดีไปเสียก่อนแล้วเรียบร้อย
..
การเที่ยวตระเวน สแกนหา เฝ้าตรวจตราว่าคนนั้นดี คนนั้นเลว
จึงไม่ก่อให้เกิดผลดีกับตัวเราเลย แม้สักนิดเดียว
..
แท้จริงโดยธรรมชาติแล้ว เราหรือเขา
ไม่อาจแยกกันออกได้ว่าใครเป็นใคร เพราะต่างก็เป็นคนเหมือนๆกัน

ประหนึ่งหยดน้ำฝนที่ตกลงมาจากเมฆก้อนเดียวกัน
แล้วตกมาสู่ผืนแผ่นดินเดียวกัน ก่อนจะไหลลงไปรวมอยู่ในแม่น้ำสายเดียวกัน
..
แม้แต่องคุลีมาล ที่ถือว่าโหดร้ายที่สุด
พระพุทธองค์ยังทรงสามารถมองเห็นความดีในตัวเขาได้..
..ก่อนจะหยุดแสดงธรรม อย่างไม่เกรงกลัวคำร่ำลืออันน่ากลัว
มอบแสงสว่างในธรรม ให้ด้วยความเมตตา ความอ่อนโยน
กระทั่งองคุลีมาล ท่านได้เห็นสัจธรรมแท้จริง
พลิกใจด้วยปัญญา กลับมาเป็นสำเร็จอรหัตผล
กลายเป็นที่กล่าวขวัญมานานนับร้อยนับพันปี
ในเรื่องราวอันยิ่งใหญ่ มาสอนใจเราตราบกระทั่งถึงทุกวันนี้
..
ว่า อย่าไปมองใครในแง่ลบ หรือมองเขาในแง่ไม่ดี
คนเรามีดี มีไม่ดี ควบคู่กันทั้งนั้น

ใช่ว่า เราไป พูดถึงเขาในแง่ไม่ดี
เราจะกลายเป็นคนดี ซะเมื่อไหร่

หรือ มีคนบอกว่า เราดี
แล้วเราจะเป็นคนดีอย่างนั้นจริงๆหรือก็ไม่
..
ไตร่ตรองดูก็จะรู้ว่า
ดีก็อยู่ที่ตัวเรานี่แหละ  ไม่ดีก็อยู่ที่ตัวเรานี่แหละ
ความดีไม่ดีไม่ได้ไป แปะติดไว้ที่ใครอื่นใดเลย
ความดีไม่ดีของเราไม่ได้อยู่ที่คำพูดคน
..
ความดีไม่ดีของเรา
ก็อยู่ที่ความคิดเห็นต่อเรื่องราวต่างๆ
ว่าเราคิดดี คิดเป็นกุศลหรือไม่
เพราะท้ายที่สุดแล้ว ผู้ที่ได้รับผลทางใจนั้นโดยตรง ก็คือ
ตัวของเรา ใจของเรา อย่างแน่แท้ที่สุดเลย นั่นเอง

วันพุธที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ขุดทองจากสมอง ให้มากกว่าขุดจากพื้นดิน

http://shartgroup.blogspot.com
..
ขุดทองจากสมอง ให้มากกว่าขุดจากพื้นดิน
..
ปัจจุบัน (ค.ศ. 2014)
คนบนโลกกว่า 7 พันล้านคน
..
คนรวยที่สุด 85 อันดับแรกของโลก
มีรายได้มากกว่า
คนที่จนที่สุดในโลก กว่า 3,500 ล้านคน
..
โดยหากใช้รายได้เป็นเครื่องมือวัดความสำเร็จ
ก็จะพบว่า คนที่ประสบความสำเร็จ
มีน้อยกว่า คนที่ประสบความล้มเหลว
หลายร้อยล้านเท่า
..
แล้วเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น .. ??
..
นั่นไม่สำคัญ ไปกว่าการตั้งข้อสังเกตประเด็นที่น่าสนใจ
..
ในเมื่อคนส่วนใหญ่ พากันประสบความล้มเหลว
แสดงว่า
พวกคนส่วนน้อยมีความคิดและการกระทำบางอย่าง
ที่ย่อมแตกต่างจากคนทั่วไป
ประหนึ่งปลาจะวางไข่
ก็จำใจต้องว่ายน้ำสวนกระแส
..
ให้ทนต่อแรงเสียดทาน
ยืนหยัดต่อคำทัดทานของผู้คน
สร้างความเป็นปัจเจกชน
เป็นตัวตนในแบบที่ไม่เหมือนใคร
กล้าคิด กล้าทำ นวัตกรรมใหม่ๆ นำเสนอออกไป
..
จึงไม่น่าแปลกใจ
เมื่อข้างในสมองเกิดปัญญา
จึงแปรสภาพคนธรรมดาเป็นผู้มั่งมี
ทำสิ่งดีดีไว้ให้คนส่วนใหญ่ได้จดจำเป็นแนวทาง
..
.. นั่นเอง
..
วันนี้ คุณคิดอะไรใหม่ๆ ออกแบบชีวิตของคุณยังไง
แชร์ไอเดีย ให้โลก ให้เรา ได้ยิน ได้ฟัง กันด้วยนะครับ

วันอังคารที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2557

การเรียนรู้ เป็นการเสียเวลา .. เพื่อ ประหยัดเวลา ..

http://shartgroup.blogspot.com
..
การเรียนรู้  เป็นการเสียเวลา .. เพื่อ ประหยัดเวลา ..
..
ชีวิตเต็มไปด้วยเรื่องราวที่เราและเขาต่างก็ไม่รู้
แต่ละคนพากันก้าวเดินไปในเส้นทางที่ใช่บ้าง ไม่ใช่บ้าง
ถูกบ้าง ผิดบ้าง เป็นธรรมดา
ยอมหลงทาง แต่ไม่ยอมถามทาง ก็บ่อยครั้ง
..
เส้นทางของชีวิต ก็ไม่ต่างจากเส้นทางบนท้องถนน
ที่ต้องการไปถึงจุดหมายในระยะเวลาที่กำหนดไว้
..
ดังนั้น เพื่อให้การเดินทางของชีวิตเป็นเส้นตรง
ไม่สับสนวกไปเวียนมาเป็นวงกลม เหมือนเขาวงกต
.. เสียเวลาเท่ากัน ระยะทางได้เท่ากัน
.. หากแต่ผลลัพธ์นั้น กลับแตกต่างกันมากหลายนัก
..
การได้รับโอกาสทางความคิดที่ถูกต้องดีงาม
โดยไม่จำเป็นต้องเสียเวลาลองผิดถูกด้วยตัวเองทุกครั้ง
..
บางประสบการณ์ที่ดีที่สุด อาจจะได้จากคนที่เลวที่สุด
บางประสบการณ์ที่ล้ำค่าที่สุด
อาจจะได้จากคนที่เคยล้มเหลวมากที่สุดด้วยเช่นกัน
..
อย่างไรก็ตาม ความรู้อันยิ่งใหญ่และยอดเยี่ยม
มักถูกส่งผ่านด้วยน้ำมืออัจฉริยะ
ดังคำกล่าวที่ว่า ..
ฟังผู้ที่ประสบความสำเร็จเพียงหนึ่งชั่วโมง
ดีกว่านั่งอ่านหนังสือด้วยตัวเองเป็นสิบเป็นร้อยชั่วโมง
..
เพียงเปิดใจรับฟัง ไตร่ตรองด้วยปัญญา
ตามธรรมชาติที่กำหนดให้มี สองหู หนึ่งลิ้น
เป็นสัญญาณเตือนให้มนุษย์ฟัง มากกว่า ใช้ถ้อยคำ ..
..
เพื่อนำไปต่อยอดองค์ความรู้ให้โลก..ให้เรา
สร้างสรรค์ บังเกิดเป็นนวัตกรรมการเรียนรู้ขึ้นมาใหม่ สดอยู่เสมอ .. นั่นเอง
..
มาเรียนรู้ไปด้วยกันทุกวันนะครับ

วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2557

เกมคิดบวก .. เกมพลิกชีวิต

http://shartgroup.blogspot.com
..
เกมคิดบวก ..
..
เกมสนุกๆ ที่เล่นกันได้ทุกคน เล่นกันได้ทุกวัน
ยิ่งเล่นยิ่งมันส์  ยิ่งเล่นยิ่งดี ..
เล่นได้ทุกที่ ไม่มีเปลืองไฟฟ้า
เล่นแล้วเกิดคุณค่า ประเทืองปัญญา ส่องทางใจให้ใสสะอาด
..
เรามาเริ่มเล่นกันเลยดีกว่า ครับ..
..
กติกา ก็คือ
- ให้ค้นหาเรื่องดีดี จากสถานการณ์ที่เราพบเจอ / เรื่องดีดีของคนรัก / เรื่องดีดีของเรา ในขณะนี้
- ใครตอบได้เร็วที่สุด หรือ ใครได้คำตอบมากที่สุด เป็นผู้ชนะ
- ให้เล่นทุกวัน ในที่ทำงาน ที่บ้าน เล่นกับแฟน และ เล่นกับใจเราเอง
- ให้ฝึกตั้งคำถามบ่อยๆ อย่างน้อย วันละหนึ่งคำถาม
..
ก็เมื่อชีวิตเราหรือเขา  ต่างก็เป็น เหมือนเกม อยู่แล้ว
ไฉน ใยต้อง หงุดหงิดกับชีวิตด้วย ..จริงมั๊ยครับ..
ขึ้นชื่อว่า เกม มันน่าจะเป็นเรื่องสนุกๆ
ที่ทำให้เกิดรอยยิ้ม และได้ยินเสียงหัวเราะ
เมื่อผลแพ้ชนะไม่สำคัญ เท่าการได้เล่นด้วยกัน ..นั่นเอง
..
วันนี้ ใครจะเป็นคนตั้งคำถามคนแรกครับ .. ???

วันเสาร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2557

สิ่งที่ยากกว่าความความสำเร็จ นั้นก็คือ ความเชื่อ ว่าจะสำเร็จ

http://shartgroup.blogspot.com
..
..ความเชื่อ..
..
เป็นสิ่งเดียวในโลกที่ไม่อาจมีเหตุผลมารองรับได้
..
ไม่ว่าจะศรัทธา หรือ งมงาย ล้วนเป็นความเชื่อเช่นกัน
..
เมื่อตรึกตรองลองมองหาการมาของความสำเร็จในชีวิต
ด้วยหลักของเหตุและผล
จะพบว่า ความสำเร็จบางอย่างก็ดูเหมือนไม่มีเหตุมีผลเอาเสียเลย
..
ยกตัวอย่าง
ในสมัยสามก๊ก โจโฉ เล่าปี่ ซุนกวน ต่างกรีธาทัพสู้รบกัน
นับครั้งไม่ถ้วน ตั้งแต่หนุ่มยันแก่เฒ่าชรา
สุดท้ายบัลลังก์ กลับมา
ตกเป็นของรัชทายาทที่แทบเกิดมายังไม่ทันได้ทำอะไรเลย
..
แต่ด้วยหลักของความเชื่อ นี่เอง
ที่ดูเหมือนไม่มีเหตุผล แต่ความจริง
ความไม่มีเหตุผลนี่แหละ คือเหตุผล
ที่ทำให้มนุษย์ไปถึงเป้าหมายตามที่ต้องการมานักต่อนักแล้วเช่นกัน
ไม่ว่าจะเชื่อแบบศรัทธา หรือ งมงาย
ต่างมีความหมาย และ ผลลัพธ์ เหมือนๆกัน
..
..
เราหรือเขา จะทะยานไปสู่จุดหมายได้อย่างไร
ถ้าหากไม่มีความเชื่อเป็นต้นทุนชีวิต
จะก้าวเดินไปอย่างไร ถ้าหากใจไร้ซึ้งทิศทางที่ชัดเจน
..
ความเชื่อ จึงเป็นเหตุผลสำคัญ ในการเริ่มต้นทุกสิ่งอย่าง
ตั้งแต่กระบวนการสร้างภาพในเซลล์สมอง
สารสื่อประสาททำหน้าที่ส่งข้อมูลไปยังสมองส่วนประมวลผล
ก่อนจะก่อให้เกิดเป็นการกระทำ และนำความสำเร็จมาให้
..
มาคุยถึงเรื่องรัชทายาทสมัยสามก๊กกันต่อครับ
ถ้าหากรัชทายาทนั้น มีความเชื่อว่า จะครองบัลลังก์ไม่ได้
มีความหวาดกลัวว่า สักวันแผ่นดินก็จะต้องตกไปอยู่ในมือขุนนาง
เมื่อมีความเชื่อเช่นนี้ ฝังรากลึกไว้ในตัวเอง
เพียงไม่นาน เรื่องราวเหล่านั้นก็จะเกิดขึ้นจริงๆ
แม้ตัวเองจะเกิดมาเป็นฮ่องเต้แล้วก็ตาม

ขณะที่คนธรรมดา หากมีเข้าใจ ในความเชื่อของตนเองว่า
ตนจะมีโอกาสได้ในสิ่งที่ดีงาม ได้มีโอกาสเป็นขุนนาง บริหารราชการใหญ่โต
ก็สามารถใช้เวลาเพียงไม่นาน
สร้างอำนาจ วาสนา บารมี ต่างๆ ให้เป็นจริงได้เช่นกัน
..
ดังคำกล่าวที่ว่า ..ไม่มีคำว่าเป็นไปไม่ได้ในพจนานุกรมของนโปเลียน
..
ฉะนั้น
"สิ่งที่ยากกว่าความความสำเร็จ  นั้นก็คือ ความเชื่อ ว่าจะสำเร็จ"
..
กระบวนการของความเชื่อ จับต้องไม่ได้ แต่มันมีอยู่จริง
แค่เราเชื่อว่าเราทำได้ เราก็จะทำได้
แค่เราเชื่อว่ามันง่าย มันก็จะง่ายทันที
เหมือนเดิน บนแผ่นกระดานไม้กว้าง 10 เซนติเมตร
พาดไว้จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง
ที่อยู่สูงจากพื้น 1 เมตร กับสูง 10 เมตร
ก็จะทำให้ความเชื่อมั่นลดระดับลง
ทั้งๆที่จริงจริงแล้ว เราต่างสามารถเดินผ่านมันได้เหมือนกันทุกคน
..
ศัตรูตัวฉกาจที่ปิดกั้นความเชื่อ ตัวหลักๆ นั้นจึงเป็น ความหวาดกลัว
กลัวว่าจะไม่สำเร็จ กลัวว่าจะทำไม่ได้
เราใช้เซลล์สมองส่วนที่เป็นตัวป้องกันความผิดหวัง
จนลืมตัวที่สร้างสรรค์ความสมหวัง ไปอย่างน่าเสียดาย ..
..
เมื่อความลับเรื่องความเชื่อ มีอยู่เพียงเส้นผมบังภูเขาแค่นี้
วินาทีจากนี้ต่อไป จึงมีคุณค่ามากมายเหลือคณานับ
เพราะสิ่งดีดีกำลังถูกเตรียมความพร้อม
รอปรากฏตัวต่อสายตาของผู้มีปัญญา
ในเรื่องความเชื่อที่ถูกต้องได้ ทันที .. นั่นเอง
..
..
ภาคผนวก
แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่เรา เชื่อ นั้น ถูกต้อง แล้ว ??
..
ในฐานะที่เป็นพุทธมามกะ เราต่างเป็นสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า
เราจึงได้รู้จักธรรมอันประเสริฐ ที่ว่าด้วยเรื่องของ ความเชื่อ
10 ประการ ได้แก่
อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามๆ กันมา
อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสืบๆ กันมา
อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ
อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์
อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเดาว่าเป็นเหตุผลกัน
อย่าปลงใจเชื่อ เพราะการอนุมานคาดคะเน
อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเดาจากอาการที่เห็น
อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว
อย่าปลงใจเชื่อ เพราะผู้พูดมีลักษณะน่าเชื่อถือ
อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้ เป็นครูของเรา
..
ฉะนั้น จึงเป็นการง่ายที่จะพิจารณา
เรื่องราวที่เข้ามาภายในใจ เข้ามาในความคิด
ว่าเรื่องใดควรเชื่อ เรื่องใดไม่ควรเชื่อ
เพราะเราและเขาต่างก็มีเครื่องกลั่นกรองความเชื่ออันแสนวิเศษ
ทรงประสิทธิภาพมากที่สุดในโลก เป็นของขวัญล้ำค่าจากองค์พระศาสดา
ที่ทรงมีพระกรุณาตรัสสอนเราทุกคน
ให้มีปัญญาติดตัวกันไว้อยู่แล้ว .. นั่นเอง

วันพฤหัสบดีที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2557

เป้าหมายในชีวิต .. เครื่องมือพิชิตความสำเร็จอย่างง่าย

http://shartgroup.blogspot.com
..
เป้าหมายในชีวิต ..
..
เพียงแค่คิดถึงเล่นๆ
หัวใจก็เต้น เป็นจังหวะของความสุขแล้ว จริงมั๊ยครับ
..
เป้าหมาย ไม่ไช่เรื่องยากเย็น
แต่มันเป็นประเด็นทำให้เรามีทุกอย่างดั่งใจ
..
เหตุผลง่ายๆไม่มีอะไร เป็นเรื่องธรรมชาติทั่วๆไป
ก็เมื่อเราหรือใคร เมื่อต้องการสิ่งใด ก็ย่อมไปหาสิ่งนั้น
เหมือนอยากเดินทางไปเชียงใหม่ ก็แค่หาทางไป แค่นั้นจริงจริง
..
เมื่อเราอยากไป วิธีการจะตามมา มากมาย
ไม่ว่าจะเป็น นั่งรถไฟไป นั่งรถทัวร์ไป นั่งเครื่องบินไป โบกรถไป ได้หมด
..
เราจะไม่ได้    บ้านใหม่     ถ้าเราไม่คิดจะซื้อ
เราจะไม่ได้    รถคันใหม่   ถ้าเราไม่สน
เราจะไม่ได้    อะไร          ถ้าเราไม่ต้องการ
..
หลักการตั้งเป้าหมายนั้นง่ายดายมากมายนัก
ก็แค่เพียงคำว่า "ต้องการ" มัน
..
เมื่อเราต้องการ ระบบประสาทจะสั่งการ
ทำงานตามหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์
เซลล์ประสาทจะเที่ยงตรง ซื่อตรง เที่ยงแท้
..
เมื่อมองให้ทะลุ อ่านเกมให้ขาด
เข้าใจในความต้องการ ว่า
ไม่ได้เป็นความละโมบโลภมากแต่อย่างใด

ถ้าความต้องการนั้น
อยู่บนพื้นฐานของความดี ความถูกต้อง
..
เราต้องการให้ครอบครัวมีความสุข ต้องการมีรายได้เลี้ยงดูพ่อแม่
ต้องการบ้านที่อบอุ่นสักหลัง ต้องการรถยนต์เพื่อใช้ไปทำงานหลบแดดหลบฝน
ต้องการเงินเก็บออมไว้ใช้ในยามเกษียณ  ไว้ทำนุบำรุงศาสนา ไว้ช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสกว่า
ต้องการไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจกับคนที่รัก
ต้องการทำงานที่สุจริตให้ออกมาได้ดี
ต้องการมีอิสระภาพในชีวิตที่ดีงาม
..
เหล่านี้ล้วนเป็นความต้องการ เป็นเป้าหมาย ที่ดีที่งดงามทั้งสิ้น
..
ธรรมะของพระพุทธองค์ มิได้ทรงตรัสให้เราต้องจน ต้องลำบาก
ในทางตรงกันข้าม กลับอยากเห็นเรามีความสุขกาย สุขใจ
ปลดเปลื้องพันธนาการทั้งหลายได้ด้วยใจ ได้ด้วยปัญญา
ไม่ได้หมายความว่า .. ไม่ให้มีอะไร
เพียงแต่ในช่วงเวลาที่มี
ไม่ไปยึดติด ยึดมั่น มันไว้กับใจ
ให้เข้าใจว่า ไอ้ที่ได้มา สักพักก็จะจากไป
..
เหมือนดั่งความสุข ที่อยู่กับเราไม่นาน ..
ความทุกข์ ก็อยู่กับเราไม่นาน เช่นเดียวกัน
ไม่อาจเอาเป็นสรณะได้เลย
..
จึงไม่ได้หมายความว่า ไม่ให้มี
ส่วนจะมีมาก มีน้อยนั้น ก็ตามกำลังสติปัญญา
..
ในฐานที่เป็นฆราวาสธรรม ก็นำประโยชน์ ให้แก่ฆราวาสธรรมด้วยกัน
ช่วยเหลือจุนเจือกันไป เมื่อเรามี ก็ให้ได้มากน้อยตามสมควรแก่ฐานะ
แต่ถ้าเราไม่มี เราก็ให้ใครไม่ได้
..
ธรรมะ สอนให้เรารู้จักการให้ การทาน การบริจาค
หากให้เป็นปัจจัย วัตถุ สิ่งของ เงินไม่ได้
ก็ให้เป็นปัญญา ให้ความคิดที่ดีงาม ให้กำลังใจแก่กันและกัน
ซึ่งต่างก็ได้บุญเสมอกัน บุญไม่ได้อยู่ที่จำนวน บุญอยู่ที่ความรู้สึก
..
ฉะนั้น .. เราจึงควรกำหนดเป้าหมายในชีวิตให้ชัดเจน
เพื่อตั้งตรงให้หลักเกณฑ์แห่งธรรมชาติ อันเป็นของธรรมดา
..
เป้าหมาย จะสร้างแผนที่ในการดำเนินชีวิตอย่างมีทิศทางที่ถูกต้อง
เป้าหมาย จะสร้างจินตนาการ ให้โลดแล่นไปได้อย่างไร้ขีดจำกัด
..
เขียนสิ่งที่ต้องการ สิ่งที่ต้องทำ
เรียงลำดับความสำคัญ ออกมาสัก 3-10 ข้อ ก่อนนอน
พอตอนตื่น ให้นำสิ่งที่ต้องการนั้นขึ้นมาอ่านเป็นกิจกรรมแรก
ก่อนสมองจะพาไปคิดเรื่องอื่น
จะทำให้เรามีหลักการ หลักเกณฑ์ชัดเจนว่า
วันนี้จะทำอะไร ที่สำคัญต่อเราและคนอื่น
..
เป้าหมาย จะเล็ก หรือ ใหญ่ ไม่ใช่ประเด็น
แค่เปิดใจให้มองเห็น ความจำเป็นของเป้าหมายที่ทรงคุณค่าเท่านั้น นั่นเอง
..

วันพุธที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2557

.. รากฐานทางความคิด..

http://shartgroup.blogspot.com
..
รากฐานทางความคิด..
..
เป็นจุดกำเนิดเส้นทางในการเจริญเติบโตของชีวิตมนุษย์
..
ชีวิตของเราก็ไม่ต่างจากรากของต้นไม้
ที่จะเจริญเติบโต งอกงามได้หรือไม่นั้น
รากไม้ ถือเป็น หัวใจสำคัญ
..
เพราะราก คือ จุดเริ่มต้น ในกระบวนการสร้างความเจริญเติบโต
ด้วยการทำหน้าที่ ดูดน้ำ ดูดแร่ธาตุที่ละลายน้ำจากดินเข้าสู่ลำต้น
ยึดลำต้นให้ติดกับพื้นดิน พร้อมทั้งสร้างฮอร์โมน
และลำเลียงน้ำ แร่ธาตุอาหาร ขึ้นสู่ส่วนต่างๆของลำต้น
นอกจากนี้รากบางชนิดยังทำหน้าที่พิเศษอื่นๆ เช่น
สะสมอาหาร  สังเคราะห์แสง  ค้ำจุน  ยึดเกาะ  หายใจ  อีกด้วย
..
การหมั่นดูแล รักษารากไม้
ใส่ปุ๋ย รดน้ำ พรวนดิน อยู่เสมอ
ย่อมส่งผลให้ต้นไม้ ออกดอก ออกผล สวยงาม ตามต้องการ
..
หากพืชผลของเรา ยังออกดอก ออกผลไม่ดี ได้ดั่งใจ
นั่นย่อมแสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในรากที่ยังไม่มากพอ
..
ด้วยเหตุนี้ รากฐานทางความคิด
จึงเป็นตัวบ่งบอกผลลัพธ์ในชีวิต อย่างเป็นธรรมชาติ
..
เพราะถ้าหากวันนี้ ชีวิตของเรา ยังก้าวไปไม่ถึงผลลัพธ์ตามต้องการ
แสดงว่า อาจต้องทำการตรวจตรารากทางความคิดเสียใหม่
..
หากรากฐานทางความคิดถูกเปลี่ยนใหม่ให้ดีขึ้น
ย่อมก่อให้เกิดการกระทำ ที่เปลี่ยนแปลงไป
ส่งเสริมให้ ผลลัพธ์ เปลี่ยนแปลงได้ ด้วยเช่นกัน .. นั่นเอง

วันอังคารที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2557

THINK BIG

http://shartgroup.blogspot.com
..
THINK BIG
..
คิดเล็ก ก็ หนึ่งความคิด ..
คิดใหญ่ ก็ หนึ่งความคิด ..
..
เมื่อต่างเสียเวลาในการคิดเท่ากัน
เหตุใดใยจึงไม่คิดทีเดียวให้มันคุ้มค่ากันไปซะเลย จริงมั๊ยครับ
..
ความคิด เป็นตัวกำหนด สิ่งที่เราเป็น และสิ่งที่เราทำ
เราจึงเป็น จึงได้อย่างที่ตัวเองคิด
..
ความคิดเป็นสื่อกลางระหว่างเรากับสมอง
ทำหน้าที่ป้อนข้อมูลให้ระบบเซลล์ประสาท
เพื่อให้ระบบประสาทส่งข้อมูลที่เราต้องการ
ไปยังสมองส่วนประมวลผล
เพื่อทำการส่งข้อมูลออกมายังร่างกายภายนอก
..
ด้วยหลักวิทยาศาสตร์นี้เอง
เราหรือเขาจึงสามารถเป็นในสิ่งที่เราต้องการ ได้เท่าที่ใจปรารถนา
..
เมื่อเราเข้าใจหลักการนี้ ก็ทำให้เข้าใจ
เกี่ยวกับบางท่าน ที่ใช้ เครื่องราง ของขลัง เป็นเครื่องมือ ใช้แทนกุศโลบาย
เพื่อ ทำให้เกิดกระบวนการสร้างความคิด นำไปสู่ความเชื่อ
เชื่อว่าสิ่งนั้นจะเกิดขึ้นได้จริง เกิดความเชื่อมั่นในตัวเองเพิ่มขึ้นอย่างแรงกล้า
..
ซึ่งแท้จริง คือหลักการป้อนข้อมูลให้กับระบบเซลล์ประสาท
..
ดังคำกล่าวแห่งพระพุทธองค์ว่า .. "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน" .. นั่นเอง

วันศุกร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2557

NLP : Neuro Linguistic Programming

NLP : Neuro Linguistic Programming
แปลตรงตัวเลย ก็คือ "ชุดคำสั่งภาษาเส้นประสาท"
หรือถ้าแปลให้สละสลวย คือ "ชุดคำสั่งภาษาสมอง"
..
เป็น เทคนิคการจัดการข้อมูลในสมอง
ด้วยการใช้ชุดภาษาพูดและทางกาย
เพื่อช่วยให้เราหรือเขา "ตีความ" สิ่งที่มากระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ให้ตอบสนองเป็นพฤติกรรมที่ดีมีประโยชน์กับชีวิต
..
Neuron หรือระบบประสาท
จะส่งข้อมูลผ่านไปทางเส้น Axon ที่เป็นเหมือนสายไฟฟ้า
สามารถแตกแขนงออกไปได้มากมายหลายเส้น
เชื่อมเส้นต่อเส้นด้วย Synapse เป็นจุดหลายๆจุด
ทำหน้าที่เชื่อมโยงเส้น Axon เพื่อถ่ายเทข้อมูลให้จากเส้นหนึ่งไปยังเส้นหนึ่ง
ผลักดันให้กระบวนการเชื่อมไปถึงปลายทาง  Target
ซึ่งก็คือการกระทำ หรือ พฤติกรรม
..
“การกระทำ” ของเราหรือเขา
จึงกระบวนการทาง “ความคิด” “จิตใจ”
ผ่านการใช้ “เส้นสมอง(ระบบประสาท)” ที่เก็บรวบรวมข้อมูลพื้นฐาน
แล้วใช้วิเคราะห์ "ตีความ" เรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิต
..
ทำให้ผลลัพธ์ในชีวิตของเราหรือเขา เป็นแบบที่ถูกตีความ ตามนั้น
ออกมาในรูปแบบของพฤติกรรม พัฒนาเป็นอุปนิสัยต่อไป
..
คล้ายกันกับระบบคอมพิวเตอร์ ที่ INPUT ข้อมูลเข้าไป (รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส)
ทำการ PROCESS ประมวลผล ด้วย CPU (เซลล์ประสาทในสมอง)
แล้ว OUTPUT ออกมาทาง PRINTER ,MONITOR (การกระทำ,พฤติกรรม)
..
เมื่อเราหรือเขา ให้ความสนใจในเรื่องราวใดใดในชีวิตประจำวัน
ไม่ว่าจะเป็น ข่าวสารทางหน้าจอทีวี ,หนังสือที่ชอบอ่าน ,เรื่องที่ชอบพูดถึง
หากมีการเน้นย้ำ เรื่องนั้นๆเป็นพิเศษ อยู่บ่อยๆ ทุกวันๆ
สมองก็จะทำการประมวลผลลัพธ์ออกมาให้เรา
มีพฤติกรรมด้านนั้นๆออกมาตามนั้นโดยปริยาย
..
ข่าวดีก็คือ เราหรือเขาสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้
หากมีความเห็นว่า พฤติกรรมที่ทำอยู่ทุกวันนี้ ไม่อาจนำพาชีวิต
ทั้งเรื่องงาน ,เรื่องรายได้ ,เรื่องครอบครัว รวมไปถึง อิสรภาพในการใช้ชีวิต
ให้เป็นไปตามที่เราต้องการได้เลย
..
วิธีการก็คือ
เพียงเข้าไปปลดล็อค ความคิดพื้นฐานเดิม ที่ทำให้ผลลัพธ์เป็นแบบเดิมเดิม
เปลี่ยนรากของความคิดใหม่ ให้กลายเป็นชุดคำสั่งใหม่
ตีความใหม่ ต่อสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วในอดีต และปัจจุบัน
เพื่อให้ระบบประสาทส่งผลลัพธ์ ในอนาคตขึ้นมาใหม่
..
ง่ายที่สุดในเบื้องต้นนั้นก็คือ
ให้พูดถึง คิดถึง นึกถึงในสิ่งที่เราต้องการ ให้มากกว่าสิ่งที่เราไม่ต้องการ
เพราะภาพในสมอง จะดึงดูด เหนี่ยวนำ เหตุการณ์
รวมถึงพฤติกรรมต่างๆ ให้ออกมาเป็นอย่างนั้น เช่นนั้น  .. นั่นเอง

วันพฤหัสบดีที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2557

จิตสำนึก & จิตใต้สำนึก

http://shartgroup.blogspot.com/
..
มนุษย์มี “จิตใจ”2 ส่วน คือ จิตสำนึก & จิตใต้สำนึก
..
ยอดภูเขาน้ำแข็งที่โผล่พ้นน้ำ .. นี่ก็คือ .. จิตสำนึก
จิตที่สามารถคิดวิเคราะห์ ออกแบบข้อมูล ป้อนข้อมูล
รู้อะไรผิด อะไรถูก อะไรคือความชั่ว หรืออะไรคือความดี
สามารถควบคุมได้ ยับยั้งต่อสิ่งเร้าได้
เช่น เวลาโกรธ เราหรือเขา
สามารถควบคุมเหตุ หรือเลือกผลลัพธ์ได้
ว่าจะให้ลงเอยยังไง
..
ส่วนภูเขาน้ำแข็งที่อยู่ใต้น้ำลงไป .. นั่นก็คือ .. จิตใต้สำนึก .
ซึ่งมีพลานุภาพ อำนาจมหาศาล ..
แต่จิตตัวนี้ ไม่รู้ว่าอะไรคือความถูกต้อง หรืออะไรคือความผิดพลาด
..
พลังมหาศาลของจิตใต้สำนึก เปรียบเสมือนยักษ์ในตะเกียงวิเศษเลยทีเดียว
เช่น เวลามีเหตุการณ์ร้ายๆ เกิดขึ้น ร่างกายจะมีพลังมากขึ้นหลายเท่าตัว
จากสถานการณณ์ไฟไหม้บ้าน เรายกตู้เย็นทั้งหลังได้เพียงคนเดียว
หมาบ้าวิ่งไล่กัด เราหรือเขา วิ่งได้เร็วกว่านักกีฬาโอลิมปิคเสียอีก
ตำรวจจับวงพนัน นักพนันสามารถกระโดดข้ามรั้ว
วิ่งผ่านลวดหนาม ว่ายน้ำข้ามคลอง ได้อย่างง่ายดาย
และยังมีอีกมากมายที่จิตใต้สำนึกทำให้เราทรงพลังอย่างน่าอัศจรรย์
..
ในร่างกายเราหรือเขา
ต่างก็ทำงานด้วยระบบควบคุมจากจิตใต้สำนึกทั้งนั้น
ไม่ว่าจะเป็น ระบบย่อยอาหาร ระบบทางเดินหัวใจ ระบบขับถ่าย ฯลฯ
เหล่านี้เราไม่อาจสั่งได้เองครบทุกอย่าง
แค่บอกให้หัวใจเต้น  ไปพร้อมๆกับให้ปอดทำงาน
ก็ยากมากเหลือเกินแล้ว ฉะนั้น จึงต้องยกให้เป็นหน้าที่ของจิตใต้สำนึกคอยสั่งการ
..
นั่นจึงเป็นข้อมูลสำคัญให้ได้ทราบว่า
เราหรือเขาต่างมีพลังแฝงเร้น.. อยู่ในตัวเองด้วยกันทั้งนั้น
..
แต่ ..ที่เราและเขา ไม่สามารถดึงพลังนั้นออกมาใช้ได้เท่าที่ต้องการ
ทำให้ได้ใช้ศักยภาพที่มีอยู่ในตัวเองแค่เพียง
5 – 10% ในแต่ละวันที่ผ่านไปเท่านั้น
..
..
เหตุผลหนึ่ง..นั่นก็คือ
ทัศนคติ ในการมองโลกของเราหรือเขานั่นเอง
..
เช่น อาการ ซึมเศร้า เหงาหงอย โกรธ โมโห มองเห็นโลกในมุมร้ายๆ
..
..
มาลองคิดถึงภาพคนที่เป็นนักกีฬาเก่งๆ กันครับ เช่น
นักเทนนิส อย่าง โรเจอร์ เฟดเดอเรอร์
นักฟุตบอล อย่าง โรนัลโด้ ,แมสซี่
นักกอล์ฟ อย่าง ไทเกอร์ วู้ด
.. ถ้าวันนั้น เค้าอารมณ์ไม่ดี ไม่ว่าฝีมือเค้าจะฉกาจฉกรรจ์สักเพียงไหน
ก็ไม่อาจทำผลการแข่งขันออกมาดีได้ยาก ..
..
ฉะนั้น จึงจำเป็นต้องปรับสภาพใจให้อยู่ในโหมดแห่งความสุข
ความงดงาม มองเห็นภาพชัยชนะที่จะเกิดขึ้นในเกมส์ ในชีวิตให้ได้
..
ฝึกฝน ทำจนเป็นนิสัย เหมือนฝึกหัดเล่นกีฬา
กระทั่งกลายเป็นทักษะความชำนาญ
สามารถปรับจูนความสุขได้เองโดยอัตโนมัติ
ไม่ว่าเหตุการณ์ที่สัมผัสในตอนนี้ ในอดีตที่ผ่านมา มันจะเป็นยังไงก็ตาม
ต้องมีพื้นฐานของ 5 ย ไว้อยู่เสมอ ก็คือ
ยิ้มแย้ม ยกย่อง เยือกเย็น ยืดหยุ่น ยืนหยัด
..
ทดสอบกับตัวเอง เป็นระยะๆว่า
อะไรที่เป็นสิ่งดีดี ที่งดงาม
ที่เราอยากทำแต่ยังไม่ได้ลงมือทำสักที
เพราะอาจติดที่คำว่า "เดี๋ยว" เพียงคำเดียว
..
งั้นเรามาเปลี่ยนกันใหม่ .. คือ คำว่า "เดี๋ยวนี้"
ทำทันที ทำทันที ทำทันที
..
เช่น ลองบอกรัก คนที่เรารัก ....แต่ไม่ได้บอกเลยในวันนี้
ลองทำความดีให้สุดชีวิต อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
อะไรก็ได้..ที่ทำให้เรารู้สึกดี มีคุณค่า กับทั้งตัวเองและคนข้างๆ
ลองพูดจาดีดีกับคนที่บ้าน อย่างที่ไม่เคยพูด เคยทำมาก่อน
ลองคิดหามุมดีดีของเพือนๆ ที่เราคบหาให้เจอ
..
“ทำวันนี้ เหมือนว่า เป็นวันแรกหรือวันสุดท้ายของชีวิตที่เหลืออยู่”
..
ส่งต่อยอดความกระตือรือล้น ความกระเหี้ยนกระหือรือ ต่อเป้าหมาย
แล้วพลังจากจิตใต้สำนึก จะส่งผลอย่างยอดเยี่ยม
กลับมาเติมเต็มชีวิตของเราหรือเขาได้อย่างงดงาม.. นั่นเอง


วันพุธที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2557

มาเริ่มฝึกทักษะภาษาอังกฤษอย่างง่ายกันเถอะครับ

http://shartgroup.blogspot.com
..
ดังคำกล่าว "หนทางร้อยลี้เริ่มต้นที่ก้าวแรก.."
..
ว่ากันว่า ..
ถ้าเราคิดว่าสิ่งนั้นยาก มันจะยากเลยทันที
ในทางตรงกันข้าม
ถ้าเราคิดว่ามันง่าย มันก็จะง่ายขึ้นมาทันทีเช่นเดียวกัน
..
ภาษาอังกฤษจึงง่ายเท่าที่ใจเราคิด
..
จะว่าไปก็คงเหมือนตอนแรกๆ
ที่เราได้มีโอกาส เห็นหน้าตาชาวต่างชาติ
ไม่ว่าจะเป็นชาวจีน ญี่ปุ่น เกาหลี ก็ดูละม้ายคล้ายคลึงกันไปหมด
อย่างกับว่าหน้าตาเหมือนเป็นคนเดียวกันหมดทั้งประเทศยังไงยังงั้น
..
ยิ่งเห็นคนแขกอินเดีย อิรัก อิหร่าน คนผิวดำ แล้วละก้อ
ยิ่งงงกันไปใหญ่ แทบจะแยกไม่ออกว่าใครเป็นใครกันเลยทีเดียว
..
ฝรั่งก็เหมือนกันนะ ผมว่า .. ดูเหมือนกันไปหมด
..
พอมาช่วงหลังๆ ดูหนังฝรั่ง หนัง Hollywood บ่อยๆเข้า
เริ่มแยกหน้า แยกตากันได้ชัดเจนขึ้น เริ่มจำหน้าพระเอกได้
พระเอกคนนี้ชื่อว่าอะไร แสดงเรื่องไหนบ้าง อย่างนี้เป็นต้น
..
ภาษาแต่ละภาษา
ก็คงไม่ต่างจากการมองเห็นในช่วงแรก
ที่ยังไม่ค่อยคุ้นชินกับสิ่งที่เห็นนัก
เพียงแค่เปลี่ยนจากการไม่คุ้นชินทาง"ตา" มาเป็นไม่คุ้นชินทาง"หู"แทน
..
ดังนั้น ท่านผู้รู้จึงบอกว่า การเริ่มเรียนรู้ภาษาที่ดีที่สุดนั้น
ให้เริ่มจากการฟัง เหมือนครั้งที่เราไม่เคยรู้ภาษาไทยมาก่อน ในตอนเป็นเด็กเล็กๆ
เราก็อาศัย สภาวะที่เรียกว่า ความเงียบ (Silent)ในการฝึกทักษะภาษาอย่างเยี่ยมยอด
..
เราฝึกฟัง ทั้งๆที่เราไม่เคยรู้ตัวอักษรมาก่อน โตขึ้นมาอีกที
เราก็เข้าใจความหมายและก็สามารถสื่อสารภาษาไทยได้เป็นอย่างดี
ตั้งแต่เรายังไม่เข้าโรงเรียนเลยด้วยซ้ำ
..
ภาษาอังกฤษก็คงเป็นเช่นเดียวกัน
ฟังแรกๆดูเหมือนสำเนียงมันคล้ายกันไปหมด
ไม่รู้พูดอะไรกัน ยืดยาวเป็นหางว่าว..
..
ทดลองฝึกฟังสักระยะ
ฟังไปแบบไม่รู้เรื่อง รู้ราวอะไรนี่แหละครับ
..
พอผ่านไปสักระยะ ก็จะเข้าสู่สภาวะโหมดที่เรียกกันว่า "ความคุ้นชิน"
..
คำศัพท์ที่ไม่เคยได้ยิน จะเริ่มเผยออกมาเป็นคำๆ เป็นประโยค ให้เราได้รู้จัก
ได้สนุกกัน ทีละคำ สองคำ .. จนจำได้ และเกิดทักษะ ไปเองโดยปริยาย
..
ผมเอง เริ่มศึกษาจาก Youtube
ฝึกฟังจากภาพยนตร์ ที่ไม่ต้องมีบรรยายภาษาไทย
ถ้าจะมีขอให้เป็นบรรยายภาษาอังกฤษ
เพื่อเราจะได้สำเนียงและได้คำศัพท์ไปในตัว
..
สำคัญที่สุด ในการเรียนรู้ นั้นก็คือ
ความรู้สึกสนุก ที่มาพร้อมกับความรู้สึกตื่นเต้นไปกับภาษาอังกฤษ
เหมือนเล่นเกมส์ ที่เราได้ขยับ Level ค่อยๆสูงขึ้นเรื่อยๆ
ค่อยๆเล่น ค่อยๆฝึกฝน จนเกิดทักษะไปเรื่อยๆ
มารู้ตัวอีกที ก็เล่นเก่งซะแล้ว
..
เอาเป็นว่าเรามาสนุกกับภาษาอังกฤษด้วยกันทุกวันนะครับ..
แล้ว .."ใครพูดภาษาอังกฤษเป็นก่อน ถือว่าเป็นฝ่ายชนะ ..ละกัน.. นั่นเองนะครับ"
..

วันอังคารที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ระเบิดพลังความคิด ให้ชีวิตทุกๆวัน

http://shartgroup.blogspot.com
..
ระเบิดพลังความคิด ให้ชีวิตทุกๆวัน..
..
ตะโกนดังๆ กับตัวเอง ให้กระหึ่มก้อง ในห้องหัวใจ..
กับความรู้สึกที่ทำอะไรสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอัน
..
แม้สิ่งนั้นจะเป็นเพียงชิ้นเล็กหรืออันน้อยที่สุดก็ตาม ..
..
ไม่ว่าจะเป็น
การตื่นนอนตอนเช้า ..
การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ
การเดินทางถึงที่หมาย ..
การได้พบพูดคุยเรื่องราวดีดี ..
การทำงานบรรลุเป้าหมายนั้นๆของวัน ..
..
เราหรือเขารู้สึกดีดีได้ทันที
ให้กับความสำเร็จที่มีมากมายได้ตลอดทั้งวัน
วันละหลายๆครั้ง วันละหลายๆอย่าง ..
..
ความสำเร็จ ที่ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องใหญ่ๆ ยิ่งใหญ่ เสมอไป ..
..
เพราะไม่อย่างงั้น
ชีวิตเราหรือเขา ก็จะขาดทุนความสำเร็จไปอย่างน่าเสียดาย
..
ความสุข บางครั้ง ก็เกิดจากเรื่องราวเล็กๆน้อยๆ
" ที่เราได้ทำมัน หรือทำมันได้ "..
..
เปล่าประโยชน์ และเสียเวลา
ถ้าเราจะไปเพ่งเล็งเป้าหมายใหญ่เพียงจุดเดียว
กระทั่งทำให้ชีวิตที่พบเรื่องราว
จุดเชื่อมต่อไปยังเป้าหมายของชีวิตขาดหายไป
..
ร้องให้ก้องฟ้า กับความรู้สึกดีดี ที่ทำสำเร็จได้ ในทุกๆครั้ง ..
ให้ภายในใจมันฮึกเหิม กระเหี้ยนกระหือรือ กระตือรือล้น
กระฉับกระเฉง กระชุ่มกระชวย เติมเต็มสีสันอย่างงดงามให้ทั้งเค้าและเรา
..
เพราะชีวิตสั้นเกินกว่าที่จะรอ
เพื่อกู่ร้องให้กับความสำเร็จได้แค่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น .. นั่นเอง
..

วันจันทร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2557

Mind Map แผนผังทางความคิด

Mind Map แผนผังทางความคิด ..
..
เทคนิคการเขียนเรื่องราวให้น่าจดจำ
ทำเรื่องยากมากมาก ให้กลายเป็นเรื่องง่ายง่าย ได้อย่างน่าอัศจรรย์
..
จากนักจิตวิทยาประยุกต์ชาวอังกฤษชื่อ
 “โทนี บูซาน” (Tony Buzan)
ที่ทำการศึกษาค้นคว้า หาต้นตอ วิธีการการเรียนรู้
ของอัจฉริยบุคคลระดับโลกหลายท่าน
ทำให้ค้นพบว่า .. พวกเค้าเหล่านี้ มีความสามารถไม่ต่างจากพวกเรามากเกินไปนัก
จะต่างกันก็เพียงแค่ .. อัจฉริยะเหล่านี้เลือกที่จะใช้ Mind Map
เป็นเครื่องมือในการจดบันทึกเรื่องราวการเรียนรู้ เท่านั้นเอง
..
Mind Map ช่วยให้เราหรือเขามีจินตนาการอย่างล้ำลึก
จากตัวอักษรนับหมื่นแสนล้านคำในตำราเรียน
นำมาสู่การจดจำในรูปแบบที่ไม่ซ้ำ แต่ทำความเข้าใจได้ชัดเจนกว่า
ด้วยเส้น สี เติมแต่งแต้ม ระบายตามความคิดอย่างไร้ขีดจำกัด
ลงในกระดาษเพียงแผ่นเดียว สำหรับแต่ละหัวข้อการเรียนรู้
..
สนุก เพลิดเพลิน ไปกับการใช้จินตนาการในการวาดรูป
และการใช้ถ้อยคำที่กระชับเข้าใจง่าย
..
เป็นการสร้างสายสัมพันธ์ระหว่าง
สมองซีกซ้ายซึ่งเป็นด้านตรรกะ เหตุและผล
กับสมองซีกขวาที่เต็มไปด้วยสีสรรค์ และจินตนาการ
ได้มีโอกาสทำงานร่วมกัน พร้อมกัน เกิดความสมดุลย์กันอย่างเป็นธรรมชาติ
..
เนื้อหาวิชาภาษาไทย อังกฤษ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ศิลปะ พละ
หรือแม้แต่ เรื่องราวที่เราสนใจใคร่รู้เป็นพิเศษ อีกมากมาย ฯลฯ
จะถูกรวบรวมไว้ด้วยกระดาษเพียงใบเดียว
..
เมื่อจะทำการทบทวน สรุปเนื้อหาต่างๆ ใดใด
ก็แค่เพียงหยิบเอากระดาษแผ่นนั้นๆขึ้นมาทำความเข้าใจ
..
ให้สามารถต่อยอดการเรียนรู้ขึ้นไปได้เลยทันที
จากการมองเห็นภาพรวมอย่างชัดเจนเป็นระบบ
เชื่อมโยงที่มาที่ไป ของข้อมูลต่างๆได้อย่างยอดเยี่ยม
การศึกษาหาข้อมูลใหม่ๆ ไร้ซึ่งขอบเขต จึงเกิดขึ้นได้เพียงเวลาชั่วครู่เดียว
..
และนั่นเอง ที่เป็นเหตุเป็นผลให้ อัจฉริยะระดับโลกทั้งหลาย
ต่างสามารถทะยานโลดแล่นสู่โลกจินตนาการอันกว้างไกลสุดลึกล้ำ
อย่างไม่มีขอบเขตประมาณได้เลย .. นั่นเอง

วันอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2557

"ฝึกความรัก..ปักธงชัยแห่งชีวิต.."

..
"ฝึกความรัก..ปักธงชัยแห่งชีวิต.."
..
เมื่อไหร่ก็ตามที่เรากำลังเศร้า
ขอให้ระลึกรู้ได้ทันที เลยว่า ในขณะนั้น
เรากำลัง Fake กำลังพยายามโกหกตัวเองและหลอกลวงผู้คนบนโลก
..
ชีวิต ทุกผู้คน ไร้ซึ่งความจำเป็นที่ต้องขวนขวายความรู้สึกอย่างนั้น
..
จากการไตร่ตรอง ลองถามตัวเอง ด้วยใจที่มีอิสระ ว่า ..
เราหรือเขาพากันบ่นไปทำไม ปรับทุกข์ปลอบใจกันทำไม
ในเมื่อเราปรับจูนคลื่นความสุขให้เกิดได้เองอยู่แล้วอย่างเป็นธรรมชาติ
..
ก็ในเมื่อ
ถ้าเราหรือเขาต่างพากันฟุ้งซ่าน วุ่นวายกับเรื่องความทุกข์ได้
นั่นก็แสดงว่า เราสามารถ ฟุ้งซ่าน กับเรื่องราวของความสุขได้เช่นเดียวกัน
..
มันเป็นสิทธิ์ที่มีอยู่ในตัวเราและเขาอย่างเต็มเปี่ยม
ในการที่จะเลือกเอาความสุข
ซึ่งนั่น ย่อมเป็นเรื่องที่ประเสริฐยิ่งกว่ามากมายหลายเท่านัก
..
ขณะที่ต้นแบบของชีวิตที่งดงาม สวยงาม
สามารถเริ่มต้นด้วยรากฐานแห่งความสุข
..
ความสุข จะทำหน้าที่ต่อยอดเป็นเป้าหมายในชีวิต
ความหมายที่งดงามในการดำรงอยู่
ตอบแทนคืนมาเป็นรายได้ที่คู่ควรอย่างเหมาะสม
..
การคิดเรื่องราวดีๆของตัวเราเองอย่างจริงๆจังๆ
รับรู้ สัมผัสให้ได้ว่า เรามีคุณค่าพอ
อย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่มีกฏเกณฑ์ใดใด มาผูกมัดพันธนาการเราทั้งสิ้น
..
ไม่ให้ใครส่งมอบใบประกาศนียบัตรอะไรเพื่อมาการันตีตัวตนของเรา
..
เราเยี่ยมยอดและดีได้เลยทันที  แม้ไม่มีคำพูดชื่นชม
หรือการตีความตัวตนของเราจากมุมมองของใคร
..
เมื่อเปิดโอกาสให้ความคิดได้ใช้อย่างอิสระ
ไตร่ตรองจากคำถามนี้ดูให้ดี จะเห็นว่า
..
ถ้าการคิดเรื่องดีๆ มีความสุขนั้น หมายถึง การหลอกตัวเอง
..
แล้วการหลอกตัวเองในรูปแบบของความสุข
แล้วทำให้เกิดอะไรดีๆ กับชีวิต
ก็น่าจะลองหลอกๆมันไปบ้าง ไม่เห็นเสียหายอะไร..
..
เพราะถ้าการคิดเรื่องราวดีๆ เรื่องของความสุข เป้าหมายในชีวิต
แล้ว ถือว่า นั่นเป็นการหลอกตัวเอง
ถ้าอย่างนั้น การคอยตอกย้ำคิดเรื่องร้ายๆ
ก็เป็นการหลอกตัวเองด้วยเช่นเดียวกัน จริงหรือไม่..???
..
หลายครั้ง เราอาจมองเห็นตัวเองเป็นพระนางในนิยาย
ในมิวสิควีดีโอ หรือ ละครทีวี ซึ่งต้องมีบทแสดง
อาการเหงา เศร้าอยู่เป็นประจำ
..
ทั้งๆที่ มันเป็นแค่เพียงการตีความ
ตามใจของเราเองทั้งนั้น
“ไม่ใช่ข้อเท็จจริง”
..
เราหรือเขา ทุกผู้คน ต่างมีสิทธิ์อนุญาตให้ตัวเอง
ได้รู้สึกตื่นเต้นกับเรื่องดีดี ที่จะถาโถมเข้ามา
รู้สึกยินดีปรีดา กับ เรื่องราวสวยงามที่สุดในชีวิตทุกๆวัน
..
ไร้ประโยชน์ และเสียเวลาอย่างมหันต์
เมื่อต้องเที่ยวค้นหาเรื่องราวทางความคิด
มาตั้งเป็นเงื่อนไขให้ติดขัดอยู่กับความระทมทุกข์
..
แค่เพียงลองเปิดใจมองโลกแห่งความสุขให้ทะลุออกมาเลยทันที..ณ บัดนี้ เดี๋ยวนี้!!
ด้วยความรู้สึกสัมผัสเป้าหมายในชีวิตอันทรงคุณค่าดีงาม
..
มองให้เห็นภาพความสุข ว่ามันดียังไง มันวิเศษยังไง เมื่อได้มันมา
เอาใจไปสัมผัสความสุขให้แนบชิดเข้าไว้
เริ่มต้นทำกิจกรรมดีดี ให้ชีวิตอย่างเต็มที่แบบสุดตัว
เพื่อการดำรงอยู่บนโลกอย่างมีความหมาย
พร้อมคุณค่าที่มีให้กับตัวเองและผู้คนอย่างงดงามที่สุด
..
จง..อย่า..ไปกลัว..”ความสุข”..ที่จะได้มา
..
นั่นเอง

วันพฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2557

Mindset พิมพ์เขียวของชีวิตมนุษย์

..
Mindset .. กระบวนการทางความคิดกับเหตุการณ์ฝังใจในอดีต

Mindset เป็นพิมพ์เขียวของชีวิตมนุษย์แต่ละคน
ที่ถูกออกแบบมาด้วยกระบวนการทางความคิด
..
มันคือรากทางความคิดที่บ่งบอกความเป็นไปเป็นมาในการมองโลกของใครของมัน
ทั้งในเเง่ดีและแง่ร้ายต่อเหตุการณ์นั้นๆ
เป็นตัวบ่งบอกถึงวิธีการถูกเลี้ยงดูลูกของคนๆนั้น
เป็นกรอบความคิดที่เกิดขึ้นในช่วงวัยเด็ก
คอยควบคุมขับเคลื่อนทุกแง่มุมของชีวิตมาจนถึงปัจจุบันนี้
รวมไปถึงผลลัพธ์ในอนาคตของตัวเราเองด้วย
..
ที่น่าแปลกไปกว่านั้น คนส่วนใหญ่แทบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่า
ชีวิตถูกกำหนดไว้ด้วย Mindset ของตัวเอง
..
หลายคน
มีความรู้สึกว่าตนไร้ความหมาย ความรู้สึกเบื่อหน่าย
ขาดการสร้างสรรค์ ขาดความสนใจสิ่งแวดล้อม
มีความรู้สึกด้อยค่าและท้อแท้ใจ
มีความรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้าง  มักมองโลกในด้านลบ
 รู้สึกหมดหวังในอนาคต และมักมีคำถามว่า "เขาจะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร"
..
หลายคน
มีความรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ใจเบาสบาย
เห็นทุกเรื่องราวเป็นความสนุกสนาน ตื่นเต้น ตลกได้ตลอดเวลา
เห็นเป้าหมายที่งดงามในชีวิตชัดเจน
มองเห็นความมั่งคั่ง ร่ำรวยให้กับชีวิตได้แบบง่ายๆ
พร้อมกับเดินทางไปในแต่ละวันด้วยใจสบายๆอย่างมีความสุข

เหล่านี้ล้วนมี Mindset เป็นตัวกำหนดทั้งนั้น
..
ข่าวดีก็คือ.. Mindset เป็นสิ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงและพัฒนาได้
หากเรารู้วิธีการปรับจูน Mindset
เปลี่ยนพิมพ์เขียวทางความคิดของเราซะใหม่
ก็จะกลับกลายเป็นประโยชน์อย่างมหาศาลกับตัวเราเช่นเดียวกัน
..
ดังนั้น
เมื่อเราสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้นได้ ด้วยการตั้งค่า Mindsetขึ้นใหม่
ก็เพียงแค่ย้อนกลับไปเห็นภาพในช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์สำคัญๆ
ที่ทำให้เรารู้สึกหมองเศร้า ที่ทำให้เรารู้สึกแย่ ..
แล้วทำการปรับภาพฝังใจขึ้นมาใหม่..
..
เมื่อเจอภาพนั้นแล้ว ให้ Delete ทิ้งออกไปซะ
ให้อภัยกับตัวเราเองและผู้คนที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ร้ายๆนั้น
พร้อมทั้งหามุมมองที่เป็นแง่ที่ดีที่สุดเท่าที่จะคิด จะจินตนาการภาพได้
ขึ้นมาใหม่ เปลี่ยนมุมมองใหม่ให้มีความสุขแบบสุดสุด
..
ท้ายที่สุดเราจะสามารถสร้างผลลัพธ์ให้ชีวิตได้ใหม่อย่างรวดเร็ว
และทรงอานุภาพอย่างไม่อาจประมาณได้เลยทีเดียว
..
ในฐานที่เป็นพุทธมามกะ มีพุทธศาสนาเป็นสรณะ
เรามักจะได้รับกุศโลบายอันประเสริฐมากมาย
จากการใช้หลักการที่ง่ายและได้ผลดีที่สุด นั่นคือ
ศีล สมาธิ ปัญญา ..
..
สมาธิ เกิดจากการทำใจให้จดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
ไม่ว่าจะเป็นการทำงานในชีวิตประจำวันทั่วไป
รวมไปถึงทำสมาธิขึ้นสูงคือ การฝึกดูใจตัวเอง
ส่วนใหญ่มักใช้คำบริกรรมคาถาว่า พุทโธ
บ้างก็ใช้คำว่า เกิด-ดับ หรืออื่นใดที่ตรงกับจริตของแต่ละคน
..
เมื่อสมาธิแน่วแน่ ตั้งมั่น จะเกิดปัญญาตามมาโดยอัตโนมัติ
(ปัญญานั้น หาได้เกิดจากความคิดไตร่ตรองใคร่ครวญไม่
 แต่ปัญญาจะเกิดขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ
เมื่อสมาธิของเราสมบูรณ์พร้อม)
สังเกตจากการคิดงานอะไรสักอย่าง
ถ้าให้นั่งคิด คิดยังไงก็คิดไม่ออก
แต่หาก ปล่อยใจสบายๆ มีสมาธิ สักพักจะมีเรื่องราวดีดีผุดขึ้นมาในสมองขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
..
เมื่อปัญญามารองรับ ก็จะพบความสุขที่เป็นอริยทรัพย์
เป็นปัจจัตตัง เป็นปัจเจกชน ที่สัมผัสได้ด้วยตัวเองเพียงลำพัง
หาซื้อไม่ได้ ไปขโมยเอามาก็ไม่ได้ .. เป็นความสุขที่ไม่มีทุกข์เจือปน
..
เป็นความสุขที่เกิดขึ้นเอง ไม่เกี่ยวข้องกับใคร
ไม่ต้องรอใครมาชื่นชม ไม่ต้องสนใจใครนินทา
เป็นความสุขที่มองเห็นโลกใบเดียวกัน สวยงามขึ้นกว่าเดิมมากหลายนัก
..
ฉะนั้น ความสุขที่แท้จริง จึงเป็นของเราและเขา ทุกคน
ไม่จำเป็นต้องให้ใครมานั่งบอก ว่าอนุญาตให้เรามีความสุข
ความสุขต้องอย่างนั้นอย่างนี้อีกต่อไป
..
ความสุขเกิดขึ้นได้เพราะเรา ไม่ใช่สิ่งใดใดภายนอก
ไม่ใช่คำพูดคน ไม่ใช่อุปกรณ์ ไม่ใช่สิ่งของใดใดเลย ..
..
เปลี่ยนเหตุคือ Mindset
แล้วผลลัพธ์ของชีวิตก็จะเปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน..นั่นเอง